posttoday

กษัตริย์เหนือกษัตริย์

14 ตุลาคม 2564

โดย...ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์

**************

นึกย้อนหลังไปวันนี้เมื่อห้าปีที่แล้ว 13 ตุลาคม 2559 ทันทีได้ทราบข่าวเป็นการภายในว่า ในหลวงรัชกาลที่ 9 สวรรคตแล้ว ความรู้สึกขณะนั้นคือ พระองค์ท่านทรงก้าวข้ามพ้นความทุกข์ทางกายและเสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว

เราชาวพุทธได้รับการอบรมสั่งสอนเรื่อง การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่มีใครในโลกนี้ที่จะเป็นกรณียกเว้นได้ แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

หลวงปู่หลวงตาพระอรหันต์ชาวไทยหลายองค์บอกตรงกันว่า พระเจ้าอยู่หัวในหลวงรัชกาลที่ 9 คือ “พระโพธิสัตว์”

เราเชื่อโดยปราศจากข้อสงสัยใดๆในสิ่งที่พระอรหันต์พูด พระโพธิ์สัตว์เกิดมาเพื่อช่วยมนุษย์ ตั้งแต่เราจำความได้ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงงานเพื่อพสกนิกรของพระองค์ท่านตั้งแต่วันแรกที่ครองราชย์และทรงคิดช่วยประชาชนตลอดเวลาแม้ทรงประชวร คนไทยที่ใจไม่บอดย่อมรู้ซึ้งถึงเรื่องนี้ดี

นึกถึงวันถวายพระเพลิงที่เราเดินเรียงแถวขึ้นไปบนพระเมรุมาศ ซึ่งเป็นการแสดงความจงรักภักดีทางกายเป็นครั้งสุดท้าย แต่ความจงรักภักดีทางใจไม่เคยจางหรือลดลงเลย มีแต่จะเพิ่มขึ้น

คนไทยมีโอกาสครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้เห็นปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติในวันสวรรคตและวันถวายพระเพลิง

คนๆหนึ่งได้ทำงานหนักจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อนมาตั้งแต่วันแรกที่รับหน้าที่ จนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิต ทั้งที่พระองค์เลือกที่จะทำน้อยกว่านี้ก็ได้ โดยไม่มีใครว่า พระองค์ท่านทรงงานอย่างตรากตรำและผ่านนาทีวิกฤติของชีวิตมาแล้วอย่างน้อยสองครั้ง แต่โรคภัยไข้เจ็บก็ไม่สามารถหยุดยั้งความเด็ดเดี่ยวที่จะทรงงานเพื่อประโยชน์สุขของชาวไทยทุกเชื้อชาติศาสนาผิวพรรณ

“ไม่มืพื้นที่ใดในประเทศไทยแม้แต่ตารางนิ้วเดียวที่พระองค์ไม่เคยเสด็จไป “ เป็นคำกล่าวทีไม่เกินความจริงเลย หลายพื้นที่ที่พระองค์ท่านเสด็จนั้น นักการเมืองไม่เคยเข้าไปเลย

ไม่มีคำพูด คำเขียนใด ๆ สามารถอธิบายความรู้สึกของพสกนิกรไทยผู้จงรักภักดีต่อสิ่งที่พระองค์ได้ทำให้คนไทยรุ่นเราและรุ่นต่อๆไปได้ พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่ไม่ใช่เฉพาะเมืองไทยเท่านั้น แต่คนทั่วโลกได้รับทราบถึงสิ่งที่พระองค์ทำเพื่อมนุษยชาติด้วย และมีความรู้สึกร่วมกับคนไทยต่อการสูญเสียอันใหญ่หลวงครั้งนั้น ผ่านคลิปต่าง ๆ ที่ออกไปทั่วโลก

นึกไม่ถึงว่าคนต่างชาติจะรู้เรื่องในหลวงของไทยและเข้าใจความรู้สึกของคนไทยได้ขนาดนี้

ในปี 2518 ในหลวงรัชกาลที่ 9 ประชวรหนักเพราะติดเชื้อไมโครพลาสมาระหว่างที่เสด็จเยี่ยมประชาชนชาวเขาโดยประทับภูพิงค์ราชนิเวศน์ และมีอาการทรุดลงเรื่อย ๆ จนคนในวังขณะนั้นหมดหวังไปตามกัน คนภายนอกไม่รู้นอกจากทราบจากแถลงการณ์ว่าในหลวงทรงประชวร

โชคดีที่มีคุณหมอท่านหนึ่งที่โรงพยาบาลจุฬา ฯ เกิดความสงสัยว่า แนวทางการรักษาที่ผ่านมาอาจผิดทาง จึงตรวจเชื้อใหม่และส่งไปทดลองที่แล็บเมืองนอก ในที่สุด หลังจากเริ่มกระบวนการรักษาใหม่ อาการของคนไข้ดีวันดีคืน และหายในที่สุด แต่เชื้อไมโครพลาสมาเป็นแผลเป็นและเป็นสาเหตุที่ทำให้หัวใจท่านเต้นผิดปกติตั้งแต่นั้นมา ซึ่งไม่มีวันรักษาหาย แต่พระองค์ท่านไม่เคยลดการทรงงานเพื่อประชาชนเลย

จำได้ว่า ในหลวงรัชกาลที่ 9 เคยเล่าให้ประชาชนฟังเรื่องที่ท่านไปติดเชื้อไมโครพลาสมาระหว่างการเยี่ยมประชาชนในพื้นที่ห่างไกลทางภาคเหนือ ทำให้พระหทัยเต้นผิดปกติตั้งแต่นั้นมา

อีกครั้งหนึ่ง เมื่อปี 2538 ในหลวงรัชกาลที่ 9 ประชวรหนักจากโรคหัวใจ ที่พระอาการทรุดลงเรื่อย ๆ มียาฉีดเดียวจากเมืองนอกที่ต้องเสี่ยงมากที่สุด เพราะมีโอกาสเดียวเท่านั้นคือไม่หายก็ตาย ในที่สุด แพทย์ต้องตัดสินใจเพราะไม่มีทางเลือก ด้วยอำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์และบารมีของพระองค์ท่าน ทำให้พระอาการดีวันดีคืนและหายในที่สุด

จำได้ว่า พระองค์ท่านมาเล่าให้พวกเราฟังที่วังสวนจิตรลดาในวันเฉลิมพระชนมพรรษาปีนั้นว่า เหมือนกับรถบรรทุกมาแล่นทับอยู่บนหน้าอก ฯลฯ

หลังจากนั้น พระองค์ท่านทรงรับการผ่าตัดอีกที่โรงพยาบาลศิริราชเพราะปวดหลังเรื้อรัง โดยมีแพทย์อเมรกันบินมาผ่าตัด แต่ก็ยังไม่หาย

แม้สุขภาพจะไม่อำนวย แต่พระองค์ท่านยังทรงงานหนักมากจนไม่น่าเชื่อว่ามนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งจะทำได้ ระหว่างประทับที่โรงพยาบาลศิริราช ยังทรงให้คำแนะนำรัฐบาลในเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาน้ำท่วมหนักปี 2554 แต่ผู้รับผิดชอบกลับไม่นำพา

พระองค์ท่านทรงงานตั้งแต่วันแรกที่ขึ้นครองราชย์ 9 มิถุนายน 2489จนถึงวันสุดท้ายที่สวรรคตเมื่อ 13 ตุลาคม 2559 ทั้งหมดก็เพื่อพสกนิกรชาวไทย

ดวงตาจากสวรรค์คู่หนึ่งยังเฝ้ามองแผ่นดินไทยและพสกนิกรไทยด้วยความห่วงใย

คนไทยโชคดีที่พระราชปณิธานของในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้รับการสืบทอดโดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน “ เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป “ (4 พฤษภาคม 2562)

แม้วิธีการอาจแตกต่างกันบ้าง แต่มีเป้าหมายเหมือนกัน

เสื้อเหลืองที่เราใส่กันวันนี้ใช้ได้ทั้งสองรัชกาล