posttoday

โรคเบื่อม็อบ

26 สิงหาคม 2564

โดย...ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์

************

ขนาดไม่ได้ออกไปทำงานเพราะเขาให้ “เวิร์คฟรอมโฮม” คน กทม.จำนวนไม่น้อยยังรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับพฤติกรรมของม็อบวัยรุ่นที่ใช้ความรุนแรง โดยยึดเอาถนนแถวดินแดนเป็นสมรภูมิเล่นเอาเถิดเจ้าล่อกับตำรวจ นอกจากชาวบ้านแถวนั้นได้รับผลกระทบแล้ว ประชาชนที่โดยปกติสัญจรผ่านบริเวณนั้น ก็ต้องหลีกเลี่ยงไปทางอื่น

สภาพที่เกิดขึ้นที่ดินแดงนั้น “ไม่ใช่เป็นการชุมนุมทางการเมือง” ดังที่สื่อบางแห่งเรียกขาน แต่เป็น “การก่อความวุ่นวายและความรุนแรงทางการเมือง” คล้ายกับการจลาจลย่อย ๆมากกว่า ไม่ใช่เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสงบ

คนกรุงรู้ดีว่า เวลานี้ พอถึงตอนเย็นประมาณ 17.30 น.ของทุกวัน ให้พยายามหลีกเลี่ยงขับรถไปแถวดินแดง เพราะจะมีการปะทะระหว่างตำรวจกับวัยรุ่นที่บางคนเรียกตนเองว่า “ม็อบทะลุแก๊ส” ซึ่งก่อความวุ่นวายที่รุนแรง ใช้ทั้งประทัดยักษ์ พลุไฟ ระเบิดเพลิง ระเบิดปิงปอง ไปป์บอมบ์ จากผู้ชุมนุมวัยรุ่นซึ่งส่วนใหญ่ใช้จักรยานยนต์เป็นพาหนะ รวมทั้งแก๊สน้ำตา รถฉีดน้ำ กระสุนยางจากตำรวจที่วิ่งไล่จับเด็กแว้นซึ่งขี่จักรยานยนต์หนีเหมือนกับเกมไล่จับหนู พอถึงเวลาเคอร์ฟิว ผู้ชุมนุมก็แยกย้ายกันกลับเอง

การเล่นเอาเถิดเจ้าล่อกับตำรวจแบบนี้ ดูเป็นเรื่องสนุกๆสำหรับวัยรุ่นอาชีวะและเด็กแว้น โดยเฉพาะกับเด็กแว้นซึ่งคล้ายว่าเป็นเพียงเปลี่ยนสถานที่ซิ่งรถเท่านั้น เปลี่ยนสถานที่และบรรยากาศที่เคยโดนตำรวจท้องถิ่นในจังหวัดรอบ กทม.จับกุม มาเล่นกับตำรวจดินแดงบ้าง ไม่ซ้ำซากจำเจ

หลังจากติดตามสถานการณ์มาหลายวัน พอสรุปได้ว่า กลุ่มที่ก่อความวุ่นวายครั้งนี้มาจากหลากหลายกลุ่ม ส่วนหนึ่งเป็น “อาชีวะ” ขาประจำ ซึ่งไม่ใช่กลุ่มอาชีวะรุ่นใหญ่หรือรุ่นกลาง แต่เป็นพวกรุ่นใหม่และม็อบวัยรุ่นมากกว่า มีอิสระในการปฏิบัติการโดยไม่ขึ้นกับใคร ไม่มีผู้สั่งการที่หน้างาน หากจะขึ้นก็ขึ้นกับคนจ่ายเงิน

อาชีวะรุ่นใหญ่ไม่ได้หายไปไหน พวกนี้รับว่าได้เข้าร่วมกับม็อบภายใต้ชื่อต่างๆ ทุกครั้งหรือเกือบทุกม็อบใน กทม. แต่ไม่ใช่ม็อบที่ดินแดงขณะนี้ แกนนำอาชีวะรุ่นเก่าก็พวกหน้าเดิม ๆ รู้จักกันทั่วไปในวงการม็อบและวงการตำรวจทหาร ที่พูดคุยกันรู้เรื่องด้วยเหตุผล คราวนี้ แกนนำรุ่นใหญ่หลายคนแสดงความห่วงใยม็อบอาชีวะรุ่นน้องที่บางครั้งก็ห้าวเกินเหตุ

ดูเหมือนว่าแกนนำรุ่นน้องไม่ฟังและไม่ยอมรับความห่วงใยของรุ่นพี่ เพราะคิดว่าตนเองก็แน่พอควรเหมือนกัน ถึงกับมีการท้าทายตอบโต้กันทางสื่อโซเชียล

แกนนำอาชีวะรุ่นเก่าเปิดเผยว่าไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับความวุ่นวายที่ดินแดง แต่ยอมรับว่าเคยร่วมม็อบที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หน้าทำเนียบ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ฯลฯ จริง ส่วนที่ดินแดนเป็นอาชีวะรุ่นใหม่ที่ผู้ร่วมชุมนุมเปิดเผยว่ามีอาชีวะกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยประมาณ 10 กลุ่ม แต่ละกลุ่มไม่จักกัน สั่งกันไม่ได้ เป็นอิสระต่อกัน ภาระเฉพาะหน้าคือสู้กบตำรวจ

อย่างไรก็ดี หลายแหล่งข่าวรวมท้งตำรวจมีข้อมูลตรงกันว่า พวกที่ก่อความวุ่นวายที่ดินแดนครั้งนี้ส่วนใหญ่เป็น “เด็กแว้น” มากกว่าที่มีรถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ มีเพื่อนซ้อนท้าย บางคนสารภาพว่า เพื่อนชวนมาก็มา บางคนอ้างว่าไม่พอใจรัฐบาลที่ประกาศเคอร์ฟิว ทำให้เวลาที่ร่วมกินน้ำกระท่อมกับเพื่อนถูกจำกัด ส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นจากจังหวัดรอบนอก กทม. บางคนเปิดเผยว่าได้รับการว่าจ้างจากหัวคะแนนของพรรคฝ่ายค้านให้มาก่อกวน

ม็อบจำนวนไม่น้อยเป็นเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี ที่ตำรวจเตรียมเรียกผู้ปกครองของเยาวชนที่ถูกจับเหล่านี้มาทราบข้อกล่าวหา พ่อแม่คนไหนที่มีลูกซึ่งยังเป็นเยาวชนและไปร่วมม็อบก็เตรียมตัวรับหมายเรียกจากตำรวจไว้ได้เลย แต่รับแล้วก็คงไม่รู้จะทำอย่างไร

มีหลักฐานชัดเจนและมากมายที่ยืนยันว่า ผุ้ชุมนุมใช้ความรุนแรง อุปกรณ์ที่ใช้ในการสู้กับตำรวจมีทั้งหนังสติ๊กพร้อมกระสุนเป็นหัวน็อต ลูกเหล็ก ลูกแก้ว มีระเบิดปิงปอง ไปป์บอมบ์ พลุ ระเบิดแสวงเครื่อง ผู้ถูกจับรายหนึ่งสารภาพว่า ผู้ชุมนุมที่มีเป้สะพายข้างล้วนมีระเบิดอยู่ในเป้

นอกจากนั้น จากโทรทัศน์วงจรปิดเห็นคนหนึ่งถืออาวุธปืนด้วย ซึ่งยืนยันได้จากภาพถ่าย และจากการที่ตำรวจบางนายถูกยิงบาดเจ็บ อีกทั้งตำรวจรายงานว่าสามารถยึดอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนได้ ผู้ชุมนุมบางรายสารภาพว่าน่าจะมีระเบิดขว้างของทหารด้วย (จากการได้ยินเสียง) ตำรวจยึดได้จักรยานยนต์ได้หลายสิบคัน

วัตถุระเบิดที่ม็อบวัยรุ่นเตรียมมานั้น ผู้ชุมนุมบางคนเปิดเผยว่าไปซื้อมาจ่ากแหล่งผลิตและที่มีการขายออนไลน์ นอกจากไปหาซื้อมาแล้ว พอตอนเย็นบางวัน จะมีรถจักรยานยนต์รับจ้างแบบรถรับส่งอาหารนำวัตถุระเบิดมาแจกจ่ายให้วัยรุ่นที่ดินแดง

นอกจากนั้น ม็อบยังเผารถตำรวจที่ใช้ควบคุมผู้ต้องหา และเผาป้อมสัญญานจราจรรวมทั้งหมด 5 แห่ง (สน.นางเลิ้ง สน.พหลโยธิน สน.สุทธิสาร สน.ห้วยขวาง และ สน.ดินแดง)

ตำรวจสามารถจับกุมผู้ก่อเหตุได้หลายสิบคน และยึดอุปกรณ์ดังกล่าวข้างต้นได้มากมายจากตัวผู้ก่อเหตุ อีกทั้งยังตามไปจับ ยึดวัตถุระเบิดดังกล่าวได้จากแหล่งผลิตด้วย หลังจากนี้ ตำรวจจะมีภาระอีกมากในการติดตามจับกุมผู้เกี่ยวข้อง ดำเนินคดี ส่งฟ้องศาลทั้งศาลยุติธรรมและศาลเยาวชน

มีการวิเคราะห์กันว่า สิ่งที่คนวางแผนต้องการมากที่สุด คือ (1) ให้มีคนที่ได้รับความเดือดร้อนจากมาตรการสู้โควิดของรัฐบาลออกมาให้มากที่สุด จนเกิดการจลาจล และ(2) ให้มี “การตาย” เกิดขึ้นหรือที่เรียกกันว่า “หิวศพ” โดยที่เด็กแว้นและวัยรุ่นเหล่านี้อาจตกเป็น “เหยื่อ” ถ้ามีคนตาย ก็จะนำศพนั้นมาแห่ไปทั่วเมืองเพื่อปลุกระดมให้คนมาร่วมมากขึ้น แฮชแท็ก # ตำรวจฆ่าประชาชน แชร์กันเต็มในสื่อโซเชียล จะทำให้รัฐบาลอยู่ไม่ได้ ในระหว่างที่ยังไม่มีคนตาย ก็จะมีคนกลุ่มหนึ่งไปร้องเรียน “คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ” กล่าวหาว่ารัฐบาลชุดนี้ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงแล้ว อีกทั้งร้องเรียนกล่าวหาไปยังสถานทูตฝรั่งหลายแห่งในประเทศไทย

ในขณะที่ตำรวจต้องบริหารจัดการกับม็อบดังกล่าว ก็ต้องระวังไม่ให้เกิดความรุนแรงจนถึงบาดเจ็บล้มตาย เพราะจะตกเป็นเหยื่อการโฆษณาชวนเชื่อได้ ถึงกระนั้นก็ตาม ยังมีความพยายามป้ายสีว่าตำรวจเป็นคนยิงเยาวชน 2 ราย ๆ หนึ่งอายุ 14 ปีที่ถูกยิงแถวโรงบำบัดน้ำเสียห่างจาก สน.ดินแดงแฟลตดินแดงพอสมควร แต่เจ้าตัวและบิดารับว่า คนยิงไม่ใช่ตำรวจ เหยื่ออีกคนหนึ่งอายุ 20 ปีที่ถูกยิงมาจากทางโรงแรมพรินซ์ตัน แล้ววิ่งผ่าน สน.ดินแดง มาล้มแถวโรงบำบัดน้ำเสีย เมื่อไม่ใช่ตำรวจยิง เรื่องจึงเงียบไป

มีการวิเคราะห์ด้วยว่า ในช่วงที่ยังไม่มีการตายเกิดขึ้น คนที่วางแผนได้ใช้สถานการณ์ความวุ่นวายที่ดินแดน “ สร้างและกระจายข่าวผ่านสื่อโซเชียลไปทั่วโลก “ เพื่อให้เห็นว่า เมืองไทยนอกจากเจอกับโรคระบาดโควิด 19 แล้ว ยังเกิดการจลาจล ความวุ่นวายทางการเมือง ที่จะสร้างความเสียหายให้กับภาพลักษณ์ของไทย เมื่อไทยเปิดประเทศเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ นักท่องเที่ยวก็ไม่กล้ามาเที่ยวไทยและและนักลงทุนไม่กล้ามาลงทุนในไทย ส่งผลกระทบต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจและต่อรัฐบาลประยุทธ์โดยตรง

วัตถุประสงค์หลักก็คือ ทำอย่างไรจึงจะทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ พ้นอำนาจให้ได้และโดยเร็ว เพราะยิ่งปล่อยให้ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ในอำนาจไปนาน กลุ่มตนก็มีแต่จะเฉาตายไปทุกที การจะล้ม พล.อ.ประยุทธ์ “ ในสภา “ก็ทำได้ยากเพราะรัฐบาลมีเสียงข้างมากเด็ดขาด เคยยุให้พรรคร่วมรัฐบาลเช่น พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย ออกจากการร่วมรัฐบาล ก็ไม่มีใครเอาด้วย ถ้ามีการเลือกตั้งใหม่ แม้จะแก้รัฐธรรมนูญเป็นบัตรสองใบได้สำเร็จ แต่โอกาสที่พรรคฝ่ายค้านจะได้รับเลือกเป็นเสียงข้างมากเป็นไปได้ยาก เวลานี้พรรคฝ่ายค้านเองก็มีการขัดแย้งกันเรื่องระบบการเลือกตั้งแบบเก่าและแบบใหม่ อีกทั้งยังแย่งเสียงจากผู้ลงคะแนนวัยหนุ่มสาว ดังนั้น จึงต้องใช้วิธีการ “นอกสภา” ล้มรัฐบาลประยุทธ์ ให้ได้

การชุมนุมประท้วงรัฐบาลเป็นเรื่องปกติและทำได้หากไม่ใช้ความรุนแรง ส่วนประชาชนจะเอาด้วยหรือไม่ขี้นอยู่กับผู้ประท้วงมี “ความชอบธรรม” มากน้อยเพียงใด แต่ การชุมนุมทางการเมืองที่ดินแดงครั้งนี้ คนส่วนใหญ่มองว่า ม็อบไม่มีความชอบธรรมทางการเมืองเพราะผู้ชุมนุมใช้ “ความรุนแรง” โดยเฉพาะในช่วงนี้ประเทศยิ่งอยู่ในช่วงที่ประเทศกำลังเผชิญหน้ากับโรคระบาดโควิด 19 ที่คนไทยต้องสามัคคีกัน ดังนั้น การที่จะทำให้ม็อบลดพลัง มีคนมาร่วมน้อย นอกจากตำรวจใช้มาตรการในการสลายม็อบอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้แล้ว สำคัญที่สุดคือ ต้องทำให้ประชาชนทั่วไปเห็นว่า ม็อบไม่มีความชอบธรรมเพราะใช้ความรุนแรง คนที่เต็มใจมาร่วมม็อบก็จะลดน้อยลง

ใครคือ “อีแอบ” ที่อยู่หลังม็อบเด็กแว้นครั้งนี้ ต้องตามไปดูว่าใครให้เงินม็อบมาชุมนุมก่อกวน ใครคือ “สปอนเซอร์” โดยเริ่มจาก “คนจ่ายเงิน” ให้กับผู้มาชุมนุม ซึ่งเด็กแว้นบางคนเปิดเผยกับตำรวจว่า “หัวคะแนนนักการเมือง” ในท้องถิ่นเป็นคนจ่ายให้ครั้งละพันห้าถึงสองพันบาทสำหรับการก่อกวนตำรวจเพียงสองสามชั่วโมง อีกทั้งผู้จ้างบอกด้วยว่า หากใครสามารถทำลายทรัพย์สินหรือทำร้ายตำรวจได้ และนำหลักฐานมาแสดง ก็จะได้รับเงินเพิ่มในจำนวนที่น่าพอใจ ผู้รับงานบอกว่า สำหรับพวกเขา นี่ถือว่าเป็นวิธีหาเงินแบบง่าย ๆ ในเวลาอันสั้น

สอดคล้องกับคำเปิดเผยของนายตำรวจใหญ่ที่ว่า รู้ตัว “คนจ่ายเงิน” แล้ว ซ้ำพูดเป็นนัย ๆ ว่า หากเปิดเผยชื่อออกไป ทุกคนจะร้องอ๋อทันที ซี่งตำรวจจะติดตามตัวมาดำเนินคดีต่อไป ส่วนเด็กที่ออกมาก่อกวนได้รับเงินวันละ 2-3 พันบาท (คงได้ข้อมูลจากการซักถามเยาวชนที่จับได้)

“หัวคะแนนนักการเมือง” ที่ถูกเยาวชนที่ถูกจับนั้น ป่านนี้คงนั่งไม่ติด หรืออาจหลบหน้าไปสักพักหนึ่ง ส่วนจะพาดพิงไปถึงนักการเมืองใครบ้าง คนพวกนี้ต้องเตรียมหาข้อแก้ตัวกับตำรวจให้ดี เวลานี้ ประชาชนกำลังฟังข่าวดีเพิ่มเติมจากตำรวจว่าจะสามารถสาวไปหา “ตัวจริง” ได้มากน้อยขนาดไหน เพราะของแบบนี้ต้องมีการ “ตัดตอน” กันหลายทอด

แกนนำ “คาร์ม็อบ” ซึ่งประกาศว่าจะจ่ายเงินที่ “หน้างาน” นั้น รับเงินมาจากใคร เมื่อรับเงินจาก “สปอนเซอร์” มาจ่ายให้ม็อบแล้ว ตนเองจะหักไว้เท่าไร (ทำฟรีไม่มีในโลก)

การเป็นแกนนำม็อบนับว่าเป็นการ “หารายได้ทางลัด” วิธีหนึ่ง เมื่อมีการเปิดโปงบัญชีของแกนนำม็อบเยาวชนบางคนที่มีเงินในบัญชีเป็นตัวเลข 7-8 หลัก ถือว่าเป็นอาชีพหนึ่งที่รวยเร็ว เรื่องนี้ ประชาชนกำลังรอการสืบสวนของตำรวจ และ ป.ป.ส.ว่า แหล่งที่มาของเงินเหล่านี้มาจากไหน มาจากผู้ที่ศรัทธาและโอนเงินเข้าบัญชีจริง ๆ หรือเงินหลักมาจากต่างประเทศซึ่งใช้องค์กรในไทยบังหน้า

ขอย้ำว่า การจะมีประชาชนสนับสนุนม็อบมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับแกนนำม็อบสามารถสร้าง “ความชอบธรรม” ได้หรือไม่อย่างไร ประชาชนไม่สนับสนุนม็อบที่ใช้ “ความรุนแรง” หากคนร่วมม็อบมีจำนวนลดลงเรื่อย ๆ ย่อมสะท้อนว่า ม็อบนั้นขาดความชอบธรรม เช่นเดียวกัน ประชาชนก็ไม่สนับสนุนให้ตำรวจใช้ความรุนแรง หรือทำเกินอำนาจหน้าที่ “ความชอบธรรม” ก็เหมือนกันตาชั่ง ตาชั่งเอียงลงไปฝ่ายไหน ฝ่ายนั้นย่อมได้เปรียบ

ตำรวจก็ต้องระมัดระวังตัวอย่างมาก โดยปฏิบัติการทุกอย่างทุกขั้นตอนตามที่กฎหมายกำหนด ตั้งแต่การประกาศเตือนให้ผู้ชุมนุมรู้ว่ากำลังจะทำผิดกฎหมายอะไรบ้าง ตำรวจต้องอดทนต่อการยั่วยุ หากจำเป็นต้องใช้มาตรการใดในการรักษากฎหมาย ก็ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลจากเบาไปหาหนัก ทั้งการประกาศเตือน ใช้ตำรวจขัดขวาง ใช้รถฉีดน้ำ แก๊สน้ำตา กระสุนยาง การจับกุมผู้ก่อการจลาจล การดำเนินคดีตามกระบวนการกฎหมาย ตำรวจกล่าวหาผู้ถูกจับกุมในข้อหาว่า “เป็นผู้ก่อความไม่สงบเรียบร้อยในบ้านเมือง” โดยไม่ใช้คำว่า “ผู้ชุมนุม” เพราะไม่ได้มีส่วนในการเรียกร้องใด ๆ

เราเห็น ผบ.ตร. และ ผบช.น. มีความอดทนอดกลั้น และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างเต็มที่ ฝ่ายตำรวจซึ่งเป็นผู้รักษากฎหมายสามารถดึงความชอบธรรมมาอยู่ข้างรัฐบาลได้ ในขณะที่กลุ่มผู้ชุมนุมซึ่งใช้ความรุนแรง จะสูญเสียความชอบธรรม ทั้งนี้ อาจสังเกตได้จากจำนวนผู้ที่มาร่วมม็อบโดยจริงใจว่าเพิ่มขึ้นหรือลดลงเพียงใด ม็อบยืนอยู่ได้นานเพียงใด

“ความชอบธรรม” จะโบยบินไปจากม็อบทันทีที่ซ้ำเติมความเดือดร้อนให้กับประชาชน เวลานี้ ปัญ-หาเร่งด่วนที่เผชิญหน้ากับประชาชนคือภัยคุกคามจากโควิด 19 ประชาชนต้องการเห็นบ้านเมืองสงบและทุกฝ่ายร่วมมือร่วมใจกันให้ผ่านวิกฤตินี้ไปให้ได้ก่อน หลังจากนั้น จะก่อม็อบอะไรก็ค่อยว่ากันอีกที (จบ)