posttoday

เปรียบเทียบการปฏิรูปการเมืองการปกครองญี่ปุ่น-ไทย (ตอนที่ยี่สิบสี่):ตรรกะต่อต้านการเปลี่ยนแปลง

23 สิงหาคม 2564

โดย...ไชยันต์ ไชยพร               

********************

ผมยอมรับว่า ไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องญี่ปุ่น เคยเรียนการเมืองการปกครองญี่ปุ่นสมัยปริญญาตรี มีท่าน ศ.ดร. เขียน ธีระวิทย์สอน วิชาที่เรียนไม่ได้ใช้ชื่อการเมืองญี่ปุ่น แต่อยู่ภายใต้ชื่อวิชา “การเมืองเอเชีย” ซึ่งมีเรียนเกี่ยวกับญี่ปุ่นและอินเดีย  และผู้สอนเรื่องอินเดียคือ รศ. ประณต นันทิยะกุล ทำให้ผมรู้ว่าอินเดียมีพรรคการเมืองของจัณฑาลด้วย  และแน่นอนว่าได้รู้ความเป็นมาเป็นไปของพรรคการเมืองหลัก

ส่วนการเมืองประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนนั้น ก็มีวิชาการเมืองการปกครองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แยกออกไป  ส่วนจีนนั้น มีวิชาเฉพาะ ผมจำชื่อไม่ได้ แต่น่าจะออกแนวการเมืองประเทศคอมมิวนิสต์ เพราะวิชานี้เรียนเกี่ยวกับโซเวียตและจีน   ผู้สอนเรื่องโซเวียตคือท่าน ศ.จรูญ สุภาพ  ส่วนเรื่องจีนก็ท่านอาจารย์เขียน

ตอนที่ผมเรียนการเมืองญี่ปุ่นกับอาจารย์เขียน มีรุ่นพี่รัฐศาสตร์ จุฬาฯที่กำลังเรียนปริญญาเอกเรื่องการเมืองญี่ปุ่นกลับมาเมืองไทย อาจารย์เขียนได้เชิญให้เขามาสอนการเมืองญี่ปุ่นด้วย ซึ่งต่อมารุ่นพี่คนนี้ได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญการเมืองญี่ปุ่นของไทย และดำรงตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและคณบดี คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ รุ่นพี่ท่านนี้คือ ศ.กิตติคุณ ดร.ไชยวัฒน์ ค้ำชู ครับ

ผมได้ฐานความรู้เรื่องการเมืองญี่ปุ่นจากทั้งอาจารย์เขียนและอาจารย์ไชยวัฒน์ และมาหาอ่านต่อยอดเอาเองภายหลังเพื่อสนองความอยากรู้ ยิ่งอ่านก็ยิ่งพบความน่าสนใจในการเมืองญี่ปุ่นนับตั้งแต่ช่วงก่อนปฏิรูปเมจิที่คาบเกี่ยวกับช่วงปฏิรูปประเทศในสมัยรัชกาลที่ห้า และได้รู้เรื่องการก่อตั้งพรรคการเมืองเสรีนิยมของญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก ที่แกนนำได้รับอิทธิพลจากนักคิดแนวเสรีนิยมตะวันตกอย่างจอห์น ล็อกและรุสโซ และนากาเอะ โชมินก็เป็นหนึ่งในสมาชิกพรรคเสรีนิยม แต่ตอนหลังเขาลาออกไป เพราะรับไม่ได้ที่อำนาจอิทธิพลกระจุกตัวอยู่กับคนไม่กี่คนในพรรคโชมินมีความโดดเด่นในทางปรัชญา ประวัติศาสตร์และอักษรศาสตร์ เพราะเขาได้ทุนรัฐบาลไปเรียนที่ฝรั่งเศส เขายังเป็นคนญี่ปุ่นคนแรกที่แปลงานของรุสโซออกมาเผยแพร่ มีอิทธิพลต่อการศึกษาความคิดของรุสโซทั้งในญี่ปุ่นและจีน ดังที่ผมได้เคยเล่าไปแล้ว

เขายังเขียนนวนิยายด้วย นั่นคือ A Discourse by Three Drunkards on Government) หรือที่ผมตั้งชื่อไทยให้ว่า “สามขี้เมาคุยการเมือง” ปรากฏสู่สายตาคนญี่ปุ่นในปี พ.ศ. 2430 ต่อมาองค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) คัดเลือกให้เป็นหนึ่งในวรรณกรรมยิ่งใหญ่ของโลก

ในเรื่องนี้มีตัวละครสำคัญตัวหนึ่งที่มีฉายาว่า “สุภาพบุรุษ” เป็นผู้สมาทานแนวคิดเสรีนิยมประชาธิปไตย  และเชื่อในกฎวิวัฒนาการว่าทุกอย่างต้องเปลี่ยนแปลงและการเปลี่ยนแปลง และต้องการให้ญี่ปุ่นพัฒนาไปตามแนวทางที่ว่านี้  ส่วนตัวละครอีกตัวหนึ่งมีฉายาว่า “นักสู้” เพราะยึดมั่นในจารีตวัฒธรรมแบบญี่ปุ่น

เปรียบเทียบการปฏิรูปการเมืองการปกครองญี่ปุ่น-ไทย (ตอนที่ยี่สิบสี่):ตรรกะต่อต้านการเปลี่ยนแปลง

เปรียบเทียบการปฏิรูปการเมืองการปกครองญี่ปุ่น-ไทย (ตอนที่ยี่สิบสี่):ตรรกะต่อต้านการเปลี่ยนแปลง

“สุภาพบุรุษ” ไม่เห็นด้วยกับการให้เหตุผลในสังคมญี่ปุ่นสมัยนั้นว่า “ถ้าจะเป็นประชาธิปไตยได้ดี ประชาชนต้องพร้อม ต้องมีการศึกษาและมีจิตสำนึกพลเมือง” !

การที่โชมินเขียนเล่าแบบนี้ ก็แปลว่า ญี่ปุ่นมีการใช้เหตุผลแบบนี้เพื่อชะลอการเข้าสู่ความเป็นประชาธิปไตยมาตั้งแต่กว่าร้อยปีมาแล้ว

ของไทยเรา เท่าที่ผมอ่านเจอ น่าจะเริ่มขึ้นในช่วงหลัง พ.ศ. 2500 ครับ อ่านเจอจากหนังสือที่ตีพิมพ์เนื้อหาที่รวบรวมจากการออกอากาศของรายการวิทยุช่องหนึ่ง โดยมีการใช้คำว่า “ประชาธิปไตยแบบไทยๆ”

จริงๆแล้ว แนวคิดทำนองนี้ ก็มีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ห้า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเองก็เคยทรงตักเตือนนักเรียนไทยในต่างประเทศว่า  “ให้พึงนึกในใจไว้ว่าเราไม่ได้มาเรียนจะเป็นฝรั่ง เราเรียนเพื่อจะเป็นคนไทยที่มีความรู้เสมอด้วยฝรั่ง” (จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๒๔๕๘, ๑๓๘)  และทรงมีพระราชดำรัสว่า  “เราทั้งหลายไม่พึงควรเฉพาะแต่ที่จะรักษา ยังควรทำให้เจริญขึ้นในสิ่งอันดี แลสิ่งที่เคารพนับถือว่าเป็นอาการกิริยาแลธรรมเนียมแห่งประเทศเราด้วย” (จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๒๔๕๘, ๑๓๒)  ซึ่งข้อความทั้งสองนี้น่าจะสื่อว่า ไม่ควรที่จะลอกเลียนฝรั่งเสียทั้งหมด ต้อมีความเป็นตัวของตัวเอง แต่ความเป็นตัวของตัวเองก็ไม่ใช่อยู่กับที่ แต่ต้องมีการพัฒนาให้ดีขึ้นด้วย

และถ้าย้อนกลับไปถึงพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว  พระราชดำรัสที่คุ้นเคยกันดีคือ “การศึกสงครามข้างญวน ข้างพม่า ก็เห็นจะไม่มีแล้ว จะมีอยู่แต่ข้างพวกฝรั่ง ให้ระวังให้ดี อย่าให้เสียทีแก่เขาได้ การงานสิ่งใดของเขาที่คิดไว้ ควรจะเรียนเอาไว้ก็เอาอย่างเขา แต่อย่าให้นับถือเลื่อมใสไปทีเดียว”

แต่พระราชดำรัสของทั้งสองพระองค์จะสื่อถึงรูปแบบการปกครองด้วยหรือไม่นั้น ก็เป็นเรื่องของการตีความ  เพราะในสมัยรัชกาลที่ห้า พระองค์ได้จัดตั้งองค์กรบริหารราชการแผ่นดินขึ้นมา 2 องค์กรในปี พ.ศ. 2417 โดยใช้ทับศัพท์ตามภาษาอังกฤษว่า “ปรีวีเคาน์ซิล”  หรือสภาที่ปรึกษาในพระองค์ กับ “เคาน์ซิลออฟสเตด” หรือสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน  ซึ่งน่าจะเข้าข่ายตามแบบองค์กรของตะวันตก และยังมีการปฏิรูประบบการคลัง และการจัดตั้งกระทรวงทบวงกรมต่างๆขึ้นมาแทนที่การปกครองแบบจตุสดมภ์ด้วย !

ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า การจัดการปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินให้ทันสมัยในสมัยรัชกาลที่ห้าเกิดขึ้นตามตัวแบบของฝรั่ง  คำถามคือ แล้วที่เป็นของตัวเอง ที่ควรรักษาและพัฒนาให้ดีขึ้นนั้นคืออะไร ? พระองค์หมายถึง “อาการกิริยาแลธรรมเนียมแห่งประเทศเรา”  ใช่หรือไม่ ?   และถ้าพูดในศัพท์รัฐศาสตร์สมัยใหม่ “อาการกิริยาแลธรรมเนียมแห่งประเทศเรา” ก็น่าจะรวมถึงวัฒนธรรมทางการเมือง ทีนี้ วัฒนธรรมทางการเมืองที่ดีของเราคืออะไร ? เป็นคำถามที่ ตัวผมและนักสังคมศาสตร์คงต้องพยายามตอบให้ได้

กลับมาที่มุมมองของ “สุภาพบุรุษ” เขาไม่เห็นด้วยว่า การเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยจะต้องรอให้ประชาชนพร้อมเสียก่อน ไม่ว่าจะเป็นด้านความรู้การศึกษาหรือจิตสำนึกพลเมือง  มิฉะนั้นแล้ว ก็จะไม่ยอมรับกติกาในระบอบประชาธิปไตยกัน

“สุภาพบุรุษ” เห็นว่า ข้ออ้างดังกล่าวนี้เป็นเหตุผลที่ชอบอ้างกันซ้ำๆซากๆของคนรุ่นเก่าที่ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง เหตุผลแบบนี้ขัดขวางความเจริญก้าวหน้า  แม้ว่าเหตุผลแบบนี้อาจะฟังดูดี แต่ในความเป็นจริง มันไม่ใช่   เพราะในการปกครองในประเทศต่างๆที่เป็นประชาธิปไตยในปี พ.ศ. 2430  พลเมืองอเมริกัน ฝรั่งเศส และสวิสเซอร์แลนด์ ก็ไม่ได้เป็นคนดีวิเศษเลอเลิศอะไร แต่ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีของพวกเขานั้น ก็ไม่ได้เกิดจลาจลหรือความไม่สงบ

สิ่งที่ “สุภาพบุรุษ” กล่าวนี้ ก็มีส่วนจริง แต่สิ่งที่ “สุภาพบุรุษ” ไม่ได้กล่าวหรือไม่ยอมกล่าวถึงคือ การเกิดสงครามกลางเมืองในอเมริการะหว่าง พ.ศ. 2404-2408 และมีการสอบสังหารประธานาธิบดีลินคอล์นในปี พ.ศ. 2408 ส่วนฝรั่งเศสเพิ่งเกิดการปฏิวัติไปเมื่อ พ.ศ. 2391  ส่วนสวิสเซอร์แลนด์เกิดสงครามกลางเมืองที่เรียกว่า “The Sonderbund War”  ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2390

อาจเป็นไปได้ว่า การที่พลเมืองจะยอมรับกติกากัน ต้องผ่านประสบการณ์อันเลวร้ายเป็นบทเรียนเสียก่อน

ในแง่นี้ ประเทศไทยเรายังไม่เคยผ่านประสบการณ์อันเลวร้ายที่จะเป็นบทเรียนหรืออย่างไร ? หรือไม่มากพอ ?

ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา !

(อ้างอิง: คัดจาก : บทความ “ปกิณกะในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่องความเปลี่ยนแปลงทางด้านศิลปะและวัฒนธรรม”. โดย รศ.ดร.พิริยะ ไกรฤกษ์. ศิลปวัฒนธรรม ฉบับพฤศจิกายน ๒๕๔๗ https://www.silpa-mag.com/history/article_12765)

ข่าวล่าสุด

ป.ป.ส. ผนึก DEA สหรัฐฯ เตรียมจัดประชุม Regional IDEC 2026 ที่เชียงราย