posttoday

ประวัติศาสตร์ที่ถูกบิดเบือน

27 พฤษภาคม 2564

โดย...ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์

***********

ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2564 เช่นเดียวกับเดือนเดียวกันนี้ในปีที่ผ่านมา มีวันครบรอบเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองสำคัญที่ต่อเนื่องจากเดือนเมษายน โดยผู้เกี่ยวข้องได้จัดงานรำลึกกันทุกปี ในปีแรกๆหลังเหตุการณ์ก็มีคนไปร่วมมากหน่อย แต่นาน ๆ เข้าก็มีคนร่วมลดลงทุกที จากจำนวนร้อยคนก็เหลือเพียงจำนวนสิบ ระยะหลังดูจะเห็นการจดัดงานรำลึกเชิงสัญลักษณ์มากกว่า

เหตุการณ์ทางการเมืองที่ก่อให้เกิดความสูญเสียชีวิต ในช่วงชีวิตของคนรุ่นเรา คงย้อนหลังไปตั้งแต่กรณี 14 ตุลาคม 2516 ต่อมาก็เป็น 6 ตุลาคม 2519 แล้วทิ้งช่วงมานานจนถึงการชุมนุมชนชั้นกลางล้มรัฐบาล พล.อ.สุจินดา คราประยูร เมื่อ 20 พฤษภาคม 2535 จลาจลกลางเมืองเดือนเมษายน – พฤษภาคม 2553 การยึดอำนาจโดยคณะ คสช.นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองด้วยความรุนแรงดังกล่าวส่วนใหญ่ก่อให้เกิดการสูญเสียชีวิตของพลเรือนผู้บริสุทธ์

วัตถุประสงค์ของผู้ชุมนุมส่วนใหญ่มุ่งให้เกิดการเปล่ยนรัฐบาลที่ครองอำนาจในขณะนั้นเป็นหลัก ยกเว้นกรณี 6 ตุลาคม 2519 แต่ก็ตามมาด้วยการยึดอำนาจแทบจะทันที เหตุการณ์ทั้งหมดไมอาจกล่าวได้ว่าเหตุการณ์ไหนรุนแรงกว่ากัน เพราะการสูญเสียชีวิตของประชาชนถือว่าเป็นความรุนแรงทางการเมืองและความสูยเสียของชาติทั้งสิ้น

ส่วนจะบอกว่า ชาติสูญเสียจากการทุจริตคอรัปชั่นมหาศาลจากฝีมือของนักการเมือง กับการสูญเสียชีวิตของประชาชนเพราะต้องการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง อย่างไหนสูญเสียมากกว่ากัน เรื่องนี้ตอบได้ยากเพราะการสูญเสียชีวิตคำนวณเป็นเม็ดเงินไม่ได้

แต่ชีวิตของประชาชนก็ไม่ควรสูญเสียไม่ว่าจะเพราะการชุมนุมทางการเมืองเพื่อกดดันให้มีการเปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกับที่ชาติไม่ควรสูญเสียงบประมาณจากการทุจริตคอรัปชั่น

ประเด็นที่จะเขียนในวันนี้ อยู่ที่มีคนบางกลุ่มบางพวกพยายามบิดเบือนประวัติศาสตร์ ให้ตัวเองเป็นฝ่ายถูก และกล่าวหาทับถมกลุ่มตรงข้ามเป็นฝ่ายผิด ทำให้ประวัติศาสตร์ขอรประเทศถูกบิดเบือน ด้วยความจริงผสมความเท็จ คนรุ่นหลังบางกลุ่มเลือกที่จะเชื่อข้อมูลตามที่ตนชอบ

คนที่บันทึกประวัติศาสตร์ของช่วงดังกล่าว ไม่ใช่นักวิชาการที่แท้จริงและเป็นกลาง แต่เหตุการณ์ถูกบันทึกโดยคนที่เกี่ยวข้องและเลือกข้าง ด้วย “ความรู้สึก” หรือด้วย “ความเห็น” มากกว่าด้วย “ความจริง” หรือเลือกเฉพาะความจริงที่ถูกจริตของตนเองและตนเองได้ประโยชน์ ในขณะที่กล่วหา ใส่ใคล้อีกฝ่ายด้วยความไม่รู้จริง หรือตั้งใจด้วยอคติ และพยายามใส่หัวให้คนรุ่นหลังเชื่อตามที่ตนเชื่อ

ประวัติศาสตร์ในบางช่วงบางตอนจึงถูกบิดเบือน และยังไม่เคยมีการสังคายนาโดยนักวิชาการที่เป็นกลางหรือราชบัณทิตผู้รอบรู้ ซึ่งเป็นผลเสียต่อคนรุ่นหลังที่ศึกษาประวัติศาสตร์ของชาติ

แต่น่ายินดีที่ในปัจจุบัน ยังมีแกนนำนักศึกษาขณะนั้นซึ่งเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 บางคน แม้ว่าอายุเข้าวัยชราแล้ว ยังพยายามค้นหา “ความจริง”จากแหล่งต่าง ๆ ทำให้ตัดอคติส่วนตัวออกไปได้ เก็บเล็กผสมน้อยจากทุกด้าน

รวมทั้งเบื้องหลังการหลบหนีเข้าไปไปร่วมต่อสู้กบพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พ.ค.ท.) ซึ่งเป็นการเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายขวาและซ้ายอย่างรุนแรง ก่อนและหลังและพัฒนาทางการเมืองก่อนไปถึงเหตุการณ์วันที่ 6 ตุลา 19 ซึ่งยังมีคนที่เป็นผลผลิตของเหตุการณ์นำประวัติศาสตร์ช่วงนี้มาบิดเบือนเพื่อให้ต่อสู้ทางการเมืองของตนดูดี หรือนำไปบิดเบือนประวัติศาสตร์ตามที่ตนต้องการ

ในเดือนเมษายน – พฤษภาคม ก็มีวันสำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองที่ต้องบอกว่าเป็น “ความเจ็บปวด” ของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมของ “ชนชั้นกลาง” ใน กทม.ที่ออกมาต่อต้านรัฐบาล พล.อ.สุจินดา นอกจากเบื้องหน้าที่รู้กันทั่วไปแล้ว ยังมีเบื้องหลังอีกมากมายที่ไม่ได้ถูกนำมาบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ จริง ๆ แล้ว เป็นการต่อสู้ยกที่สองระหว่าง จปร.รุ่น5 นำโดย พล.อ.สุจินดา คราประยูร และรุ่น 7 ยกที่สองนั่นเอง เมื่อสามารถยั่วยุด้วยวิธีการต่าง ๆ อาทิ จี้รถบรรทุกน้ำมัน (ไม่มีน้ำมันในถัง ) เอามาทำท่าจะวุ่งเข้าใส่ทหารรัฐบาล เมื่อเสียงปืนนัดแรกดังขึ้นมาจากทหารฝ่ายรัฐบาล แกนนำรุ่นหลังประกาศทันทีว่า “เราเป็นฝ่ายชนะแล้ว”

รถจักรยานยนต์จำนวนนับร้อยคัน ถูกสั่งให้ลำเลียงจากชานเมืองมาไว้ที่หน่วยทหารแห่งหนึ่งที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล พล.อ.สุจินดา ตรงข้ามกับ ร.ร.วชิราวุธ ก่อนที่จะออกมาก่อกวนเมืองในวันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นยุทธวีธีที้ใช้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์

เรื่องการอดอาหารที่นักการเมืองหรือนักเคลื่อนไหวนิยมใช้นั้น เป็นที่รู้กันดีว่าคนเราอดอาหารได้หลยสิบวัน แต่อดน้ำได้ไม่กี่วัน เรื่องนี้คนที่เตรียมตัวอดอาหารรู้ดี วิธีกินน้ำกินอาหารไม่ใช่เรื่องยาก เพราะทุกคนต้องเข้าส้วม ผู้จัดฉากก็เตรียมเอาน้ำ อาหารเล็กน้อยไปซ่อนไว้ในส้วม แบบนี้อยู่ไปร้อยวันก็ไม่ตาย เรื่องนี้รู้กันดีในหมู่นักประท้วงรุ่นก่อน

โดยเฉพาะการอดอาหารในเรือนจำ รับรองว่าไม่มีวันตาย เพราะกรมราชทัณท์จะไม่ยอมให้ตายเป็นอันขาดด้วยการให้เกลือแร่ หรือให้น้ำเกลือแทน อยู่อีกร้อยวันก็อยู่ได้ ส่วนที่อดเฉพาะอาหารเย็นนั้น เท่ากับเป็นการลดความอ้วน ดีต่อสุขภาพเสียอีก

เมื่อเป็นเรื่องระหว่าง “ทหารกับทหาร” ด้วยกัน “จอมทัพไทย” สามารถเรียกคู่กรณีมาพูดจาสั่งสอนได้ให้เลิกแล้วต่อกัน ทุกอย่างก็จบภายในคืนนั้น

การล้มการประชุมสุดยอดอาเซียนที่พัทยาเมื่อเดือนเมษายน 2552 รู้กันว่าเป็นผลงานของผู้สูญเสียอำนาจที่ทำให้ประเทศชาติขายขี้หน้าไปทั่วโลก แต่ก็ถูกคนบางกลุ่มบางพวกนำไปบิดเบือนเพื่อสร้างความชอบธรรมในการกระทำของตน ประวัติศาสตร์ถูกบิดเบือนเกือบจะสิ้นเชิง

เหตุการณ์จลาจลในปี 2553 เป็นเรื่องการต่อสู้ทางการเมืองแต่ทหารตำรวจถูกใช้เป็นหุ่นเชิดหรือเป็นตัวประกอบ ทั้ง “ทหารแตงโม” และตำรวจ “มะเชือเทศ” เรื่องราวทั้งหมดสามารถอ่านได้จากรายงานของคณะกรรมการแสวงหาข้อเท็จจริงนำโดย ศ.ดร.คณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด ซึ่งถือว่าเป็นรายงานเปิดเผยที่เชื่อถือได้ หรือจะไปขอดูรายงานของคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน รัฐสภา สมัย คสช.ก็ได้

แต่ก็มีบางอย่างที่สาวไปไม่ถึง กล่าวกันว่าประเด็นหลักคือ ต้องมีคนตายเพื่อกล่าวหารัฐบาลอภิสิทธิทำให้คนตาย จะได้ต่อรองให้ออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมกันได้ทั้งหมด

สรุปว่า งานนี้ต้องมีคนตาย

และจะทำให้คนตายได้มากมาย ก็ต้องยั่วยุให้ทหารยิง จะทำให้ทหารยิงก็ต้องทำให้ทหารโกรธ การที่จะทำให้ทหารโกรธได้ก็ต้องทำให้ทหารตายและบาดเจ็บ คนที่จะยิงทหารได้ในคืนวันที่ 10 เมษายน 2553 ที่ทำให้ พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม บาดเจ็บและเสียชีวิตในที่สุด เป็นความตั้งใจทำของอีกฝ่ายที่มีการล่อทหาร ทภ. 1 ให้ออกไปตั้งแต่ช่วงเย็นมาแล้ว ลองคิดดูในคืนนั้น หากแผนก่อวินาศกรรมเสาไฟฟ้าแรงสูงที่เลยรังสิตออกไปสำเร็จและทำให้ กทม.ไฟดับทั้งเมือง คืนนั้นจะเกิดการจลาจลและความสูญเสียมากน้อยขนาดไหน

เวลากลางวัน ดูเหมือนบ้านเมืองสงบ แต่พอความมืดเข้ามาคลุม กทม. มีการยิงต่อสู้กันแบบสงครามกลางเมือง ระหว่างทหารอาชีพที่เข้ามาทำหน้าที่แทนตำรวจเพื่อรักษาและฟื้นฟูความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง กับอดีตทหารพรานบางส่วนที่ถูกจ้างเข้ามา ดีแต่ว่า ทหารอาชีพที่กินข้าวกะทะเดียวกันเขาไม่ฆ่ากันเอง อย่างดีก็ยิงสกัดไม่ให้ทหารฝ่ายรัฐบาลรุกคืบไปได้เท่านั้น

เป็นครั้งแรกที่คนไทยแตกแยก แบ่งฝักแบ่งฝ่ายสู้รบกันเองอย่างชัดเจนอันเป็นแผนของผู้สูญเสียอำนาจ ผู้วางแผนและผู้เกี่ยวข้องที่ทำให้คนไทยแบ่งฝ่ายสู้รบกันเองนี้ถือว่าได้กระทำ “อนันตริยธรรม” หรือทำบาปอันใหญ่หลวงต่อบ้านเมือง

อาการพระประชวรของเจ้าเหนือหัวของเราทรุดลงทันทีเมื่อเห็นคนไทยต้องฆ่ากันเอง ซึ่งก็ตรงกบใจผู้วางแผนด้วย

สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ รวมทั้งคนไทยนำเอาคนต่างชาติมาฆ่าคนไทยด้วยกันเอง

วันครบรอบสถานการณ์ล่าสุดคือเหตุการณ์เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ขณะนั้นยึดอำนาจจากรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่บ้านเมืองเดินต่อไปไม่ไหวแล้ว และประเทศมีแนวโน้มว่จะถูกตีตราเป็น “รัฐล้มเหลว”