ก่อนเกิดการทำแผนที่สยาม (ตอนที่สิบเอ็ด): Old Siam, Young Siam และ Conservative Siam
โดย...ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร
****************
คำสามคำนี้ถือกำเนิดขึ้นพร้อมกันครั้งแรกในข้อเขียนของหมอสมิธในปี พ.ศ. 2416 หมอสมิธเป็นมิชชันนารีชาวอเมริกัน เคยอยู่เมืองไทยแล้วเดินทางไปอเมริกา พอจบปริญญาเอก ก็กลับมาเมืองไทยอีกและอยู่ไปจนชราภาพและถึงแก่กรรมที่เมืองไทย
หมอสมิธ หนังสือพิมพ์ Siam Repository
ในปี พ.ศ. 2416 ในสายตาของหมอสมิธ เขาเห็นว่า ในบรรดาชนชั้นนำสยาม ได้เกิดกลุ่มการเมืองขึ้นมาสามกลุ่ม ที่ว่าเป็นกลุ่มการเมือง ก็เพราะเขาใช้คำว่า political parties ถ้าแปลว่า พรรคการเมืองก็คงจะผิดฝาผิดตัว เพราะจะทำให้คนเข้าใจผิดว่า สมัยนั้นมีพรรคการเมืองเกิดขึ้นแล้ว
ในปี พ.ศ. 2416 เป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระชนมายุครบ 20 พรรษา ถือว่าบรรลุนิติภาวะ และมีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่สอง หลังจากครั้งแรกในปี พ.ศ. 2411 ซึ่งขณะที่เสด็จขึ้นครองราชย์ พระองค์ทรงมีพระชนมายุเพียง 15 พรรษา และต้องมีผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนพระองค์ คือ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)
ดังนั้น ปี พ.ศ. 2416 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงมีพระราชอำนาจบริหารราชการแผ่นดิน โดยไม่ต้องมีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อีกต่อไป และด้วยบริบททางการเมืองดังกล่าวนี้หมอสมิธได้เขียนว่า “เกิดกลุ่มการเมือง (political parties) ต่างๆสามกลุ่มในสยาม ที่รู้จักกันในนามของ ‘สยามหนุ่ม’ (Young Siam) ‘สยามอนุรักษ์นิยม’ (Conservative Siam) และ ‘สยามเก่า’ (Old Siam)”
กลุ่มการเมืองทั้งสามนี้มีใครบ้าง ?
หมอสมิธกล่าวว่า “กลุ่มสยามหนุ่ม ซึ่งยังคงอยู่ในขณะนี้และเป็นกลุ่มที่ทรงพลังมากที่สุด นำโดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เจ้าพระยาภาณุวงศ์ เสนาบดีกระทรวงต่างประเทศ และพระราชวงศ์และขุนนางรุ่นหนุ่มอีกหลายพระอง์/คน”
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เจ้าพระยาภาณุวงศ์
ส่วนใครคือสยามเก่า ? ผู้เขียนได้กล่าวไปในตอนก่อนๆแล้วว่า หมอสมิธได้กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นตำรับ “สยามเก่า” และสยามเก่าหมายถึงพวกหัวเก่าที่ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการรับศิลปะวิทยาการสมัยใหม่ของตะวันตกที่เข้ามาสู่สยาม
แต่จริงๆแล้ว ผู้เขียนได้ชี้ให้เห็นในตอนก่อนแล้วว่า หมอสมิธเข้าใจผิด เพราะพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯไม่ได้หัวเก่าคับแคบ แต่ทรงระแวดระวังในการรับอิทธิพลตะวันตก แต่อย่างไรก็ตาม สยามเก่าของหมอสมิธก็หมายถึง ชนชั้นนำสยามที่หัวโบราณคับแคบไม่รับการเปลี่ยนแปลง และนอกจากพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯแล้ว หมอสมิธก็ไม่ได้ระบุตัวว่า ใครบ้างในปี พ.ศ. 2416 ที่เข้าข่ายเป็นพวกสยามเก่า
แต่ถ้าสยามเก่าหมายถึงพวกหัวเก่าคับแคบไม่รับอะไร แล้วพวกสยามอนุรักษ์นิยมคืออะไร ? ซึ่งน่าเสียดายที่หมอสมิธไม่ได้อธิบายหรือระบุตัวใครไว้ และหมอสมิธก็ไม่ได้อธิบายขยายความไว้ด้วยว่า สยามหนุ่มหมายถึงคนที่มีความคิดอย่างไร ? ได้แต่กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและเจ้าพระยาภาณุวงศ์อยู่ในกลุ่มสยามหนุ่ม
เมื่อสยามเก่าคือพวกคับแคบไม่รับการเปลี่ยนแปลง ไม่รับตะวันตก สยามหนุ่มก็น่าจะหมายถีงพวกที่เปิดรับการเปลี่ยนแปลงและรับตะวันตก การสันนิษฐานนี้ไม่ผิด เพราะถ้าไปเปิดดู พระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินท์ รัชกาลที่ 5 พระนิพนธ์ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ จะพบข้อความที่สามารถนำมาสนับสนุนข้อสันนิษฐานดังกล่าวได้ นั่นคือ
“อันความนิยมแบบอย่างฝรั่งดังปรากฏในสมัยนั้น เหตุด้วยตั้งแต่ พ.ศ. 2371 มีพวกมิชชั่นนารีอเมริกันเริ่มเข้ามาตั้งในกรุงเทพฯ มาสอนคริสต์ศาสนาและภาษาอังกฤษ กับทั้งรักษาไข้เจ็บไปด้วยกัน ครั้งนั้นไทยโดยมากมีความรังเกียจพวกมิชชันนารี ด้วยเห็นว่าจะมาสอนให้เข้ารีตถือศาสนาอื่น แต่มีบางคนซึ่งเป็นชั้นหนุ่ม หรือถ้าจะเรียกตามอย่างปัจจุบันนี้ว่าเป็นจำพวกสมัยใหม่ ใคร่จะเรียนภาษาและวิชาของฝรั่งเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์แก่บ้านเมือง ไม่รังเกียจการที่จะคบหาสมาคมและศึกษาวิชาการกับพวกมิชชันนารี ในพวกสมัยใหม่ที่กล่าวนี้ได้มาเป็นบุคคลสำคัญในชั้นหลัง4 คน คือ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อยังทรงผนวช พอพระราชหฤทัยใคร่จะเรียนภาษาและหนังสืออังกฤษ กับทั้งวิชาต่างๆ มีโหราศาสตร์ เป็นต้น พระองค์หนึ่ง
พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พอพระราชหฤทัยจะทรงเรียนวิชาทหารเป็นที่ตั้ง ทั้งเรียนหนังสือเพื่อจะให้ทรงอ่านตำรับตำราได้เอง พระองค์หนึ่ง
กรมหลวงวงศาธิราชสนิท ซึ่งได้ทรงศึกษาวิชาแพทย์ไทยอยู่แล้ว ใครจะทรงศึกษาวิชาแพทย์ฝรั่ง แต่ไม่ประสงค์จะทรงเรียนภาษาอังกฤษ พระองค์หนึ่ง
เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ เมื่อยังเป็นหลวงสิทธิ์นายเวร ใคร่จะเรียนวิชาต่อเรือกำปั่นเป็นสำคัญ และภาษาอังกฤษก็ดูเหมือนจะได้เรียนบ้าง อีกคนหนึ่ง”
กรมหลวงวงศาธิราชสนิท เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์
พูดง่ายๆก็คือ “คนรุ่นพ่อ” ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ อันได้แก่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ และพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ (พระราชอนุชาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ) และกรมหลวงวงศาธิราชสนิท ยังสนใจเปิดรับความรู้ตะวันตก ย่อมจะมีอิทธิพลต่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯและพระราชวงศ์ในรุ่นราวคราวเดียวกันกับพระองค์
คำว่า “คนรุ่นพ่อ” นี้ไม่ผิดประการใด เพราะพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ และพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ และกรมหลวงวงศาธิราชสนิทต่างเป็นพระราชโอรสของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และทรงประสูติในเวลาไม่ห่างกันมากนัก นั่นคือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าทรงพระราชสมภพ พ.ศ. 2347 และพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯและกรมหลวงวงศาธิราชสนิทปีเดียวกันคือ พ.ศ. 2351
และก็เป็นที่ทราบดีว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯทรงให้ความสำคัญกับการศึกษาหาความรู้ตะวันตก โดยเฉพาะเรื่องภาษา เพราะภาษาเป็นเป็นด่านแรกที่จะเข้าถึงวิทยาการต่างๆ ของชาติตะวันตก โดยจัดให้มีการสอนภาษาต่างประเทศแก่พระประยูรญาติตามแบบการศึกษาแบบที่เดียวกับราชสำนักในยุโรป รวมทั้งให้มีการสอนข้าราชการที่เป็นทหารมหาดเล็ก โดยผู้ที่เข้าเรียนทั้งที่เป็นเจ้านายและข้าราชการมหาดเล็กมีอายุในราว 12 ปีและรวมทั้งสตรีในวัง โดยครูชาวต่างชาติสอนภาษาและวิชาการในภาษาอังกฤษโดยตลอด
และอย่างที่ทราบกันทั่วไปว่า ทรงโปรดเกล้าให้จ้างนางแอนนา เลียวโนเวนส์ ชาวอังกฤษ มาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ให้แก่พระโอรสและพระธิดา ทรงให้ตั้งโรงเรียนขึ้นในพระบรมมหาราชวัง เพื่อให้พระราชโอรสและพระราชธิดาและพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ได้ศึกษาภาษาอังกฤษ และต่อมาทรงโปรดให้ศึกษาวิชาการแขนงต่าง ๆ กว้างขวางขึ้น อาทิ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ นับเป็นการวางรากฐานการศึกษาแบบใหม่ขึ้น และทรงสนับสนุนให้มิชชันนารีอเมริกันตั้งโรงเรียนขึ้น เพื่อให้การเพื่ออบรมสั่งสอนให้คนไทยมีความรู้ในภาษา วรรณคดี และวิทยาการของตะวันตก
ผู้มีบทบาทสำคัญเกี่ยวกับการศึกษาสมัยใหม่ในระยะแรกของไทย คือคณะมิชชันนารีอเมริกัน ในส่วนของการศึกษาภายในโรงเรียนของมิชชันนารีพึ่งอยู่ในระยะเริ่มต้นของการเกิดโรงเรียนที่เป็นระบบแบบสากลขึ้น และนับว่าเป็นการก้าวสู่การศึกษาแบบสมัยใหม่ที่มีระบบการเรียนการสอนที่เป็นพื้นฐานของการการศึกษาในสมัยต่อมา
ดังนั้น สยามหนุ่มของหมอสมิธจึงหมายถึง ชนชั้นนำสยามรุ่นใหม่ (รุ่นหนุ่มสาว) หรือที่สมัยนี้เรียกว่า new gen. ที่เปิดรับศิลปะวิทยาการความรู้ตะวันตก ซึ่งก็น่าจะคล้ายๆพวก new gen. ในบ้านเราขณะนี้ด้วย เพราะสิ่งที่พวก new gen. ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องก็คือ ไม่เอาของเก่า และเรียกร้องตามแนวคิดอุดมการณ์ทางการเมืองของตะวันตก โดยเฉพาะเรื่องสิทธิ เสรีภาพความเสมอภาคในทุกๆด้าน รวมทั้งเรื่องความหลากหลายทางเพศสภาพหรือสิทธิ์ของ LGBTQ
และถ้าหากพิจารณาข้อความในพระนิพนธ์ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพที่ว่า “อันความนิยมแบบอย่างฝรั่งดังปรากฏในสมัยนั้น เหตุด้วยตั้งแต่ พ.ศ. 2371 มีพวกมิชชั่นนารีอเมริกันเริ่มเข้ามาตั้งในกรุงเทพฯ...” เราจะพบว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯทรงเติบโตขึ้นมาในบริบทที่สยามเปิดรับตะวันตก เพราะคงจำกันได้ว่า สนธิสัญญาการค้าฉบับแรกที่สยามทำกับอังกฤษในสมัยรัชกาลที่สามคือ สนธิสัญญาเบอร์นีย์ที่ทำขึ้นในปี พ.ศ. 2369 และทำสนธิสัญญาการค้าโรเบิร์ตกับสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2376 และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯทรงพระราชสมภพในปี พ.ศ. 2396
นั่นคือ นอกเหนือจากที่พระองค์ทรงรับการศึกษาภาษาอังกฤษและความรู้ตะวันตกที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯทรงจัดให้แล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯยังทรงเติบโตมาพร้อมๆกับที่มีฝรั่งมากมายเดินทางเข้ามาในสยาม
คราวหน้าจะได้กล่าวถึงเจ้าพระยาภาณุวงศ์ที่หมอสมิธกล่าวว่าเป็น new gen ด้วยอีกท่านหนึ่ง และจะกล่าวถึงเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ที่สมเด็จกรมพระยาดำรงฯทรงนิพนธ์ไว้ว่าเป็นผู้หนึ่งที่นิยมฝรั่ง
สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์
บอกใบ้ไว้นิดหนึ่งว่า เจ้าพระยาภาณุวงศ์ เดิมชื่อ ท้วม และเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ เดิมชื่อ ช่วง และทั้งสองท่านนี้นามสกุลบุนนาค เป็นพี่น้องกัน แต่ต่างมารดา บิดาคือ ดิศ บุนนาค หรือสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์
มาถึงตอนนี้ เราพอจะทราบว่า สยามหนุ่ม สยามเก่าคืออะไร แต่สยามอนุรักษ์นิยมยังเป็นปริศนา ?