posttoday

สายลับอเมริกันอยู่รอบตัวเรา

22 เมษายน 2564

โดย...ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์

**********************

ทูตอเมริกันต้องการสื่อถึงคนไทยชัดเจนว่านโยบายของอเมริกันคืออะไร เมื่อคนไทยจำนวนหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า “ กลุ่มประชาชนคนไทย” นำโดยนายนิติธร ล้ำเหลือ นายพิชิต ไชยมงคล และนายภิมะ สิทธิ์ประเสริฐ พร้อมมวลชนจำนวนหนึ่ง เดินทางมายื่น แถลงการณ์ ต่อนายไมเคิล ฮีธ อุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูต กล่าวหาว่าสหรัฐแทรกแซงความมั่นคงของไทย กรณีนายเดวิด สเตร็คฟัสส์ และกล่าวถึงบุคคลอักษรย่อว่า “เอช” ที่ทำงานในสถานทูต

คนที่มารับหนังสือคราวนี้ไม่ใช่อุปทูต ไมเคิล ฮีธ แต่เป็น “เจ้าหน้าที่ฝ่ายประสานงานด้านการเมือง” มารับแทน โดยทั่วไป สถานทูตมักให้เจ้าหน้าที่ระดับกลางถึงล่างมารับอยู่แล้ว แต่ที่แปลกใจคือ พอกลุ่มคนชังเจ้ามายื่นหนังสือต่อสถานทูต นายไมเคิล ฮีธ กุลีกุจอมารับหนังสือด้วยตัวเอง แต่พอกลุ่มคนรักเจ้ามายื่น กลับให้เจ้าหน้าที่ระดับล่างมาแทน แสดงว่าสถานทูตให้ความสำคัญกับกลุ่มชังเจ้ามากกว่ากลุ่มรักเจ้า

เท่ากับเป็นการสื่อสารทางการทูตให้คนไทยทั้งประเทศเห็นว่า อเมริกันสนับสนุนกลุ่มชังเจ้า หรือกลุ่มที่ต้องการเลิกมาตรา 112 ป.วิอาญา ซึ่งคุ้มครองพระมหากษัตริย์มากกว่า โดยอุปทูตไม่สงวนท่าทีหรือเก็บอาการแต่อย่างใด เราเคยประเมินมาก่อนแล้วว่า เมื่อรัฐบาลดีโมแครตขึ้นบริหารประเทศ ให้ระวังเรื่องนี้และก็เป็นจริง ยังไม่ทันไร สหรัฐก็เปิดหน้าสนับสนุนกลุ่มล้มเจ้าทันที

ไม่ทราบว่าใครให้ข้อมูลกับอเมริกัน หรือ ซี.ไอ.เอ.ได้ข่าวอะไรมา ทำให้ทูตสหรัฐประจำไทยเปิดหน้าชนสถาบันกษัตริย์อย่างเต็มที่ โดยสนับสนุนกลุ่มชังเจ้า ซึ่งมีจำนวนน้อยมาก และเป็นประเด็นที่ “ละเอียดอ่อนที่สุด” โดยก่อนหน้านี้ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐเคยแสดงความห่วงใยต่อคนที่ต้องคดี ม.112 กับเลขาธิการสภาความมั่นคงมาแล้ว เชื่อว่า รัฐมนตรีต้องได้รับรายงานแบบนี้จากสถานทูต และท่านทูตอาจแนะนำให้พูดแบบนี้กับรัฐบาลไทย

ในบทความครั้งที่แล้ว ผู้เขียนเคยติงไว้ว่า ท่านอุปทูตไม่จำเป็นต้องลงมารับหนังสือด้วยตนเองก็ได้ เพราะจะมีคนมายื่นหนังสือกับสถานทูตอยู่เรื่อย ๆ เมื่อคนไทยกลุ่มที่ไม่พอใจรัฐบาล ก็มาฟ้องสถานทูต ฯลฯ เพื่อดึงอเมริกันมาหนุน เจ้าหน้าที่สถานทูตรับหนังสือแล้วก็ต้องเอามาให้ท่านอุปทูตเอง โดยที่ท่านทูตไม่เปลืองตัว แต่ท่านอุปทูตคนนี้กลับเปิดหน้าไพ่เชียร์กลุ่มล้มเจ้าเต็มที่ ครั้งที่แล้วเมื่อกลุ่มัชังเจ้ามายื่นหนังสือ นายฮีธ มารับเอง ครั้งนี้กลับให้เจ้าหน้าที่มารับแทน แสดงว่า ท่านต้องการสื่อบางอย่างให้คนไทยรู้ว่า สหรัฐหนุนกลุ่มล้มเจ้า

หากจะอ้างว่า ครั้งที่แล้วคนมายื่นได้นัดกับท่านไว้ก่อน ท่านจึงลงมารับ แต่ครั้งนี้ไม่ได้ประสานไว้ก่อน จึงให้คนอื่นมารับ เหตุผลนี้ไม่มีน้ำหนักเอาเสียเลย

เวลานี้ คนไทยเข้าใจไปแล้วว่า อเมริกันเลือกข้างโดยสนับสนุนกลุ่มชังเจ้า หรือเท่ากับประกาศสนับสนุนการยกเลิกมาตรา 112 เท่ากับแทรกแซงกิจการภายในของไทยและเล่นของสูง คนไทยจึงสงสัยว่า ท่านทูตมาเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์และความเข้าใจอันดี หรือมาสร้างความขัดแย้งระหว่างสองประเทศกันแน่

เราไม่ประหลาดใจ เพราะรู้ว่าหากพรรคดีโมแครตเป็นรัฐบาล ไทยจะเจอเรื่องนี้ทันที ซึ่งเคยเกิดมาแล้วตั้งแต่สมัยนางฮิลลารี คลินตัน เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ และทูตอเมริกันสมัยนั้นแสดงท่าทีหมิ่นเจ้าอย่างเปิดเผย

ตั้งแต่นี้ไป สถานทูตอเมริกันจะได้รับหนังสือร้องเรียนมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะกลุ่มต่อต้านรัฐบาลและกลุ่มล้มเจ้าพยายามดึงสหรัฐเข้ามาช่วยพวกเขาต่อต้านรัฐบาลและต่อต้านสถาบันสูงสุด

มีอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่ทราบว่าจะมีคนสังเกตหรือไม่ แต่ผู้เขียนสังเกตและเขียนมาแล้วในบทความก่อน ในคำแถลงของสถานทูตครั้งนี้ซึ่งตอกย้ำอีกครั้งถึง “การทูตสาธารณะ” โดยย้ำถึงเหตุผลและความจำเป็น ความเป็นปรกติจากการที่นักการทูตอเมริกันออกไปพบปะกับบุคคลหลากหลายภาคส่วนไม่เฉพาะนักศึกษาและเยาวชนเท่านั้น เพื่อไม่ให้คนไทยระแวง เท่ากับเป็นการสร้างความชอบธรรมหากมีคนเห็นเจ้าหน้าที่อเมริกันไปพบคนทั่วไปทั่วประเทศ เหมือนกับที่นักการทูตอเมริกันเคยไปเยี่ยมหมู่บ้านเสื้อแดงที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์มาแล้วเมื่อหลายปีก่อน หรือไปสนับสนุนกลุ่มที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์

ทูตอเมริกันภายใต้รัฐบาลดีโมแครตช่วงปี 2553-2557 เคยแสดงท่าทีสนับสนุนอย่างเปิดเผยต่อกลุ่มการเมืองและมวลชนต่อต้านสถาบันกษัตริย์ จนกระทั่งเงียบไปช่วงรัฐบาลทรัมป์ แต่เริ่มกลับมาอีกในรัฐบาลโจ ไบเดน แห่งดีโมแครต หรือทูตได้รับข้อมูลที่ผิดพลาด หรือรัฐบาลดีโมแครตเปิดหน้าชนโดยเข้าข้างกลุ่มล้มเจ้า และต้องการล้มรัฐบาลประยุทธ์

อีกเรื่องที่เป็น “ทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์” ในสัปดาห์ที่ผ่านมา คงหนีไม่พ้นกรณีของนายไมเคิล สเตร็คฟัสส์ ชาวอเมริกัน และเรื่องที่นักเคลื่อนไหวชาวไทยคนหนึ่งโทรศัพท์รายงานสดเป็นภาษาอังกฤษเกี่ยวกับสถานการณ์การชุมนุมให้ชาวต่างชาติคนหนึ่ง ซึ่งถูกอ้างว่าเป็นนักการทูตอเมริกันในสถานทูต จนสถานทูตต้องออกมาปฏิเสธเป็นพัลวันว่า คนชื่อนี้มีจริงแต่จบภารกิจและกลับประเทศไปแล้วตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2563 และอ้างต่อไปว่า นายคนนี้ไม่มี “ไลน์แอคเคาต์” ติดต่อกับคนไทยแต่อย่างใด สถานทูตโต้กลับว่าเป็นข่าวโกหก

เริ่มด้วยเรื่องของ “นายเดวิด สเตร็คฟัสส์” ก่อน เขาเข้ามาอยู่ในเมืองไทยกว่า 30 ปีแล้วโดยทำงานอยู่ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น และถูกกล่าวหาว่าเป็น “สายลับอเมริกัน” หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า ปล่อยให้สายลับอเมริกันคนนี้มาทำงานในไทยได้อย่างไรกว่า 35 ปี หน่วยข่าวของไทยไม่รู้หรือไม่ได้ระแคะระคายบ้างเลยหรือ ถ้ารู้แล้ว ปล่อยให้อยู่มาได้อย่างไรนานขนาดนี้

นายสเตร็คฟัสส์ มีพฤติกรรมที่ไม่ใช่ธรรมดา หน่วยข่าวรู้มานานและเฝ้าดูพฤติกรรมมาแล้วเป็นสิบปี แต่จับไม่มั่นคั้นไม่ตาย ที่แน่ ๆ คือ นายสเตร็คฟัสส์ เป็นคนสนับสนุนแกนนำเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112 และกลุ่มต่อต้านสถาบันสูงสุดตลอดมา นายสเตร็คฟัสส์ใช้สถานะของผู้ประสานแลกเปลี่ยนนักศึกษาระหว่างนักศึกษาขอนแก่น และอเมริกัน โดยคัดเลือก จัดส่งนักศึกษาไทยไปเรียนที่อเมริกา คนเหล่านี้เมื่อกลับมาก็ทำงานกระจายทั้งภาครัฐและเอกชน นอกจากนั้น เขายังสนับสนุนกลุ่มสิทธิมนุษยชนไทยเคลื่อนไหว โดยภรรยาคนหนึ่งของเขาเป็นนักสิทธิมนุษยชนด้วย

เราไม่รู้ว่านายสเตร็คฟัสส์เป็น “สายลับ” ซี.ไอ.เอ.ตามที่สื่อลงหรือไม่ เขาอาจเป็น “ผู้ร่วมมือ”คนหนึ่ง หรืออาจเป็น “แมวมอง” หาคนที่มีคุณสมบัติที่ ซี.ไอ.เอ.ต้องการ เพื่อสร้างกลุ่มกดดันในกลุ่มนักศึกษาไทย และพัฒนาคนไทยใจอเมริกันเป็นรุ่น ๆ เพื่อเข้าสู่อำนาจทางการเมือง

เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่สถานทูตรวมทั้งเจ้าหน้าที่ ซี.ไอ.เอ. มักเดินทางไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือบ่อย ๆ โดยเฉพาะที่จังหวัดขอนแก่นและมหาสารคาม ซึ่งเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยภาครัฐและเอกชน สำหรับมหาวิทยาลัยขอนแก่นนั้น เป็นที่ทราบกันดีว่า นักศึกษาบางกลุ่มในมหาวิทยาลัยขอนแก่นเคลื่อนไหวต่อต้านสถาบันกษัตริย์

นอกจากสนใจความเคลื่อนไหวของสถานทูตอเมริกันในขอนแก่นแล้ว ประชาชนควรสนใจความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่สถานทูตและสถานกงสุลอเมริกันในภาคเหนือด้วย โดยมี “เชียงใหม่” เป็นศูนย์กลาง เพราะพบว่า เจ้าหน้าที่สถานทูตและสถานกงสุลอเมริกันไปเคลื่อนไหวในเชียงใหม่ซึ่งมีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นจุดสนใจ และเป็นศูนย์กลางการเคลื่อนไหวต่อต้านสถาบันกษัตริย์ไม่น้อย

ส่วนทางภาคใต้ ให้จับตาการเคลื่อนไหวของนักการทูตอเมริกันสนับสนุนกลุ่มนักศึกษาแบ่งแยกดินแดน ในมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มอ.ปัตตานี

เป็นที่ทราบกันดีว่า สหรัฐมีนโยบายที่จะเอารัฐบาลไทยไว้เป็นพวกเพราะไทยอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญตั้งแต่สมัยต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์โดยมีจีนเป็นเป้าหมายสำคัญ เวลานี้สหรัฐกลับมาอีกครั้งเพื่อฟื้นฟูอิทธิพลเดิมต่อต้านการขยายอิทธิพลของจีน

สหรัฐสนับสนุนรัฐบาลไทยจากพรรคไหนก็ได้ไม่ว่ารัฐบาลนั้นจะโกงกิน ดีชั่วอย่างไร ขอให้โปรอเมริกันและต่อต้านการขยายอิทธิพลจีน ขณะเดียวกัน สหรัฐก็ไม่ทิ้งพรรคฝ่ายค้านที่โปรอเมริกัน เพราะพรรคฝ่ายค้านอาจขึ้นเป็นรัฐบาลในโอกาสต่อไปได้

หากต้องการทราบเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศไทย ท่านทูตสามารถพบปะพูดคุยสอบถามจากนายกรัฐมนตรี หรือ ผู้นำเหล่าทัพ ได้โดยตรง หรือสอบถามได้จากหัวหน้าพรรคการเมืองต่างๆ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติและทำได้ตามอนุสัญญาเจนีวา แต่การสนับสนุนพรรคการเมืองที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์ หรือสนับสนุนฝ่ายค้านให้ล้มรัฐบาล ถือว่าเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศที่ตนไปประจำอยู่ การไปยืนให้กำลังใจคนไทยที่ทำผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นการแทรกแซงอธิปไตยทางศาล

ถึงแม้จะได้รัฐบาลไทยที่โปรสหรัฐ ๆ สหรัฐยังมีเตรียมมาตรการกดดันรัฐบาลไทยควบคู่กันไปหากรัฐบาลไทยทำในสิ่งที่ขัดผลประโยชน์สหรัฐ มาตรการที่สหรัฐเคยนำมาใช้มีอาทิ มาตรการทางการค้า ทางภาษี ความช่วยเหลือด้านการทหาร การขายอาวุธยุทโธปกรณ์ ฯลฯ โดยเฉพาะการสร้าง “กลุ่มกดดัน” ในวงการต่าง ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มนักศึกษา อาจารย์ นักวิชาการ แต่เวลานี้ สหรัฐก็ไม่กล้ากดดันมิตรประเทศมากนักเพราะเกรงว่ามิตรประเทศจะหันไปร่วมมือกับจีนแทน ทูตสหรัฐสามารถเข้าถึงผู้นำทางการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านได้ตลอดเวลา

ส่วนการหาข่าวทางลับและปฏิบัติการลับนั้น เป็นเรื่องของ ซี.ไอ.เอ.โดยตรง ในการสร้าง “สายลับ” โดยเฉพาะการสร้าง “สายลับอิทธิพล” ( นักการเมือง หลายคนอาจเป็นถึงรัฐมนตรี นักการทหาร นักธุรกิจ นักวิชาการฯลฯ ) ส่วนใหญ่เป็นพวกโปรอเมริกัน หรือผ่านการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในสหรัฐมาแล้ว หรือมีการติดต่อค้าขาย ทำธุรกิจกับสหรัฐ ฯลฯ ซึ่งสามารถใช้ “อิทธิพลทางการเมือง” ที่มีต่อนักการเมือง รัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี กดดันรัฐบาลให้ดำเนินนโยบายสอดคล้องกับผลประโยชน์ของสหรัฐได้ หรืออย่างน้อยก็ไม่ขัดกับผลประโยชน์ของสหรัฐ “สายลับอิทธิพล” เหล่านี้เป็นผู้มีชื่อเสียงทางการเมืองที่คนไทยรู้จักกันโดยทั่วไป

นอกจากนั้น สหรัฐได้สร้าง “กลุ่มกดดันทางการเมือง” ในวงการต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มอาจารย์ นักศึกษา กลุ่มสิทธิมนุษยชน กลุ่มประชาธิปไตย รวมถึงกลุ่ม เอ็น.จี.โอ. เป็นต้น ทั้งนี้ไม่ได้หมายถึงว่า ทุกกลุ่มที่กล่าวถึงเป็นกลุ่มที่สหรัฐสร้างขึ้นมา แต่มีหลายกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนด้านการเงินจากกองทุน องค์กรอเมริกัน และยุโรป

เรื่องเงินไม่มีปัญหาสำหรับอเมริกัน ทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น ยูเสด เอ็น.อี.ดี. มูลนิธิจอร์จ โซรอส เป็นต้น สามารถจัดสรรเงินให้กับ “กลุ่มกดดันทางการเมือง” เหล่านี้ เมื่อ “สปอนเซอร์” สั่งให้ทำอะไร ก็ต้องทำตามที่เขาบอก เอ็น.จี.โอ.ไทยบางกลุ่มคิดอะไรไม่ออก ก็ขอเงินสนับสนุนจากองค์กรต่างชาติเหล่านี้ เมื่อได้เงินของเขามา เขาสั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำ

เรื่องของนาย เอช. ซึ่งสถานทูตอเมริกันยอมรับว่าชื่อนี้มีอยู่จริง ทำงานในสถานทูตจริง แต่จบภารกิจกลับไปแล้วตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2563 นั้น นายคนนี้จะเกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหาจริงหรือไม่นั้น ไม่เป็นไร แต่ความจริงก็คือมีคนไทยที่ทำงานให้ต่างชาติจริง และการรายงานสมัยนี้ อยู่ไกลแค่ไหนก็พูดคุยกันได้

มองไปรอบ ๆ ตัวเรา อาจมีคนไทยที่ทางานลับให้อเมริกันอำพรางตัวอยู่ ถ้าเป็นฝรั่งแบบเดวิด สเตร็กฟัสส์ เราก็ระวังตัวได้เพราะเขาเป็นฝรั่ง แต่ถ้าเป็นคนไทยด้วยกันเอง เราไม่รู้เลยว่าใครทำงานให้ต่างชาติ ความสังเกตและระมัดระวังตัวจึงเป็นสิ่งที่คนไทยควรมีไว้ติดตัว หากแน่ใจพอสมควรก็ “เปิดโปง” ออกมาเลย แต่ต้องระวังถูกฟ้องหมิ่นประมาทด้วย (จบ)