posttoday

แด่นายแพทย์มงคล ณ สงขลา

25 ธันวาคม 2563

โดย...น.พ.วิชัย โชควิวัฒน

*****************

นายแพทย์มงคล ณ สงขลา อดีตรมว.สาธารณสุข ถึงแก่กรรมด้วยอาการอันสงบ จากโรคมะเร็งไตที่ลุกลาม ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี เมื่อคืนวันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม 2563 เวลา 22.52 น.

นายแพทย์มงคล ณ สงขลา เป็นผู้มีส่วนสำคัญในการทำซีแอลยา หรือการใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรยาเอดส์ 2 ชนิด ยาหัวใจ 1 ชนิด และยามะเร็ง 4 ชนิด เมื่อปลายปี พ.ศ. 2549 ถึงต้นปี 2551 ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากสามารถเข้าถึงยาราคาแพงเหล่านี้ได้อย่างกว้างขวาง โดยประเทศชาติสามารถประหยัดเงินได้หลาย หมื่นล้าน

ระบบสิทธิบัตรเป็นระบบที่มีหลักการและเหตุผลที่ดี เพราะส่งเสริมให้เกิดแรงจูงใจในการวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อประโยชน์สุขของมนุษยชาติ แต่โดยที่ยาเป็น “สินค้าคุณธรรม” ที่ประชาชนไม่ว่ายากดีมีจนควรสามารถเข้าถึงได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม จึงต้องมีระบบที่สร้างสมดุลระหว่างกำไรของธุรกิจกับประโยชน์สาธารณะ หรือการใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะ (Public use)

อนึ่งคำว่า “สาธารณะ” ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ซึ่งเป็นฉบับล่าสุด ให้ความหมายว่า “เพื่อประชาชนทั่วไป” ประโยชน์สาธารณะ จึงแปลว่า “ประโยชน์ของประชาชนทั่วไป”

ด้วยหลักการดังกล่าว ผู้กำหนดกติกาการค้าของโลก ซึ่งเดิมคือแกตต์ (GATT) หรือ ความตกลงทั่วไปว่าด้วยภาษีศุลกากรและการค้า (General Agreement on Tariffs and Trade) ปัจจุบันคือองค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) จึงนอกจากจะมีการกำหนดความตกลงว่าด้วย ทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับการค้า (Agreement on Trade-Related Intellectual Properties หรือ TRIPs Agreement) แล้ว ความตกลงดังกล่าวยังกำหนดให้มี ข้อยืดหยุ่นต่างๆ (TRIPs Flexibilities) เพื่อมิให้เกิดการผูกขาด เกินความจำเป็น หรือเกินสมควร ความยืดหยุ่น ของความตกลงทริปส์ทำให้ธุรกิจหรือประเทศต่างๆ สามารถทำซีแอล (CL) : หรือการใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตร (Compulsory Licensing) ได้ตามความเหมาะสม

อย่างไรก็ดี ประเทศกำลังพัฒนาต่างๆ มักไม่กล้า หรือไม่สามารถใช้สิทธิดังกล่าว เพราะธุรกิจข้ามชาติมีกลไกมากมายที่จะใช้ตอบโต้ ดังกรณีประเทศไทยผู้ป่วยเอดส์เคยมีการชุมนุมเรียกร้องให้ทำซีแอลกับยาเอดส์ชนิดหนึ่งเมื่อ พ.ศ. 2542 แต่รัฐบาลสมัยนั้นก็ไม่ดำเนินการ

การที่นายแพทย์มงคล ณ สงขลา ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในรัฐบาลพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ซึ่งเป็นรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร จึงมีความ “อ่อนแอ” หรือ “เปราะบาง” ในสายตานานาชาติอยู่โดยพื้นฐาน แต่สามารถทำซีแอลกับยาทั้งสิ้นถึง 7 ชนิดได้สำเร็จ นอกจากต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมากแล้ว ยังต้องใช้สติปัญญาและทีมงานที่แข็งแกร่งมาก ดังปรากฏการถูกตอบโต้อย่างรุนแรงจากองค์กรที่เรียกตัวเองว่า USA for Innovation เข้ามาซื้อหน้าโฆษณาเต็มหน้าในหนังสือพิมพ์ไทยทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษโจมตีเรื่องนี้อย่างรุนแรง รวมทั้งสื่อบางฉบับในสหรัฐ เช่น หนังสือพิมพ์เดอะวอลสตรีท เจอร์นัล มีบทความโจมตีเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง และแม้แต่ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก ก็ให้สัมภาษณ์ เชิงตำหนิการดำเนินการของกระทรวงสาธารณสุขไทยด้วยในช่วงแรก

แต่ภายใต้การนำอย่างเข้มแข็งและยืนหยัดในประโยชน์สาธารณะ รวมทั้งการยึดถือกฎหมายระหว่างประเทศและในประเทศ ของนายแพทย์มงคล ณ สงขลา โดยการสนับสนุนของทีมงานอันแข็งแกร่ง และแรงหนุนอันแข็งขันของภาคประชาชนและสื่อมวลชนในประเทศ ทำให้ประเทศไทยสามารถทำซีแอลได้สำเร็จอย่างงดงาม เริ่มต้นจากยาเอดส์ 2 ชนิด แล้วขยายไปทำกับยาหัวใจ 1 ชนิด และยามะเร็งอีก 4 ชนิด

นอกจากผลงานที่โด่งดังระดับโลกอย่างเรื่องซีแอลแล้ว ระหว่างดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์มงคล ยังสร้างผลงานสำคัญอีก 5 ชิ้น

งานชิ้นแรก คือ การผลักดันจนกระทั่งรัฐสภาพิจารณาเห็นชอบพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ซึ่งหัวใจสำคัญคือการสร้างกลไกให้มีการสร้างนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพอย่างมีส่วนร่วมบนพื้นฐานทางปัญญา (Participatory Public Policy Process based on Wisdom : 4PW) ทำให้มีกลไกสำคัญ ได้แก่ (1) สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ สมัชชาสุขภาพเฉพาะพื้นที่ และสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็น

(2) ธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ (3) สิทธิและหน้าที่ด้านสุขภาพ และ (4) ข้อกำหนดเรื่องการทำการศึกษาผลกระทบด้านสุขภาพนอกเหนือจากข้อกำหนดเรื่องการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งนับเป็นความก้าวหน้ามาก โดยเฉพาะเรื่องกระบวนการสมัชชา ซึ่งดำเนินการตามรูปแบบสากล คือ สมัชชาอนามัยโลก แต่ก้าวหน้าไปอีกหนึ่งขั้น คือ ภาคีที่เข้าร่วมนอกจาก ตัวแทนประเทศสมาชิก (ซึ่งคือตัวแทนภาครัฐเท่านั้น) สมัชชาสุขภาพของไทยมีภาควิชาการ/วิชาชีพ และภาคประชาสังคม/ภาคประชาชน เข้าร่วมอย่างแข็งขันด้วย

กฎหมายฉบับนี้ เดิมคาดว่าจะใช้เวลาผลักดันได้แล้วเสร็จในเวลาเพียง 3 ปี แต่เนิ่นช้าออกไปกลายเป็น 7 ปีเศษ และคลอดออกมาเป็นพระราชบัญญัติฉบับแรกในปี 2550 ของสภานิติบัญญัติชุดนั้น แน่นอนว่านอกจากทีมงานที่แข็งแกร่งแล้ว ก็คือการนำอันเข้มแข็งของนายแพทย์มงคล ณ สงขลา

งานชิ้นที่สอง คือการเพิ่มสิทธิประโยชน์เรื่องการบำบัดทดแทนไตให้แก่ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ซึ่งเดิมเป็น “หนามตำใจ” หรือ “ความเหลื่อมล้ำ” ในระบบประกันสุขภาพของไทย เพราะข้าราชการราว 5 ล้านคน และประกันสังคมราว 10 ล้านคนเวลานั้น มีสิทธิ์ แต่ประชาชนบัตรทองราว 47 ล้าน ไม่มีสิทธิ์ ด้วยเหตุผลสำคัญเพราะคนกลุ่มนี้เป็นคนกลุ่มใหญ่ที่สุด แต่เสียงดังน้อยที่สุด

ทว่าด้วยการเตรียมการอย่างเป็นระบบโดยทีมงานที่เข้มแข็ง ในที่สุดรัฐบาลก็ตัดสินใจให้สิทธิแก่ประชาชนกลุ่มนี้ โดยพัฒนาให้ก้าวหน้ากว่าระบบเดิมที่ทำกันอยู่แล้วด้วย กล่าวคือ

(1) ด้วยตระหนักดีว่าภาระงบประมาณเพื่อสิทธิประโยชน์เรื่องนี้สูงมาก และผูกพันระยะยาว จึงได้มีการศึกษาอย่างรอบคอบ คาดการณ์ภาระงบประมาณระยะยาวอย่างชัดเจน ผ่านการพิจารณาของคณะทำงาน คณะอนุกรรมการ และคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ แล้วเสนอให้คณะรัฐมนตรีเป็นผู้ตัดสินใจ ซึ่งคณะรัฐมนตรีก็เห็นชอบและดำเนินการมาด้วยดีจนทุกวันนี้ โดยใช้เงินน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้กว่าร้อยละ 20

(2) จากเดิมเป็นการฟอกเลือดในโรงพยาบาล แต่โครงการนี้สนับสนุนให้ล้างไตทางช่องท้อง ให้คนไข้ทำเองที่บ้านโดยจัดส่งน้ำยาล้างไตให้ถึงบ้านคนไข้ทุกคน ทำให้คนไข้ไม่ต้องมีภาระและค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปล้างไตในโรงพยาบาลสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ซึ่งช่วงที่เกิดน้ำท่วมใหญ่เมื่อ พ.ศ. 2554 โรงพยาบาลบางแห่งน้ำท่วม ไม่สามารถให้บริการได้ และคนไข้ส่วนหนึ่งไม่สามารถฝ่าเส้นทางที่ถูกน้ำท่วมเดินทางไปรับบริการได้ ทำให้เสียชีวิตไปหลายคน ขณะที่ผู้ป่วยที่ล้างไตเองที่บ้านไม่มีใครเสียชีวิตจากเหตุเพราะน้ำท่วมเลย

เมื่อเดือนมกราคมปี พ.ศ. 2561 ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลกเดินทางมาประชุมนานาชาติรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลในประเทศไทย ได้มีโอ กาสไปเยี่ยมคนไข้ที่ล้างไตที่บ้านในชุมชนแออัดแห่งหนึ่ง มีข้อสงสัยว่าเราคงจะทำไว้โชว์แบบ “ผักชีโรยหน้า” และคงมีผู้รับบริการไม่กี่คน แต่ต้องถึงกับตะลึงที่ได้คำตอบว่า เรามีผู้ป่วยกลุ่มนี้อยู่กว่า 3 หมื่นรายทั่วประเทศ

งานนี้ประสบความสำเร็จส่วนหนึ่งด้วยภาวะผู้นำของนายแพทย์มงคล ณ สงขลา และต้องชื่นชม พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ที่เห็นชอบโครงการนี้ เพราะห้วงเวลานั้น เป็นช่วงปลายของรัฐบาล และรัฐบาลได้ประกาศจะไม่อนุมัติโครงการที่มีผลผูกพันงบประมาณระยะยาวแล้ว เคยมีผู้สอบถาม พล.อ. สุรยุทธ์ ว่าทำไมจึงอนุมัติ ได้คำตอบคือ “เมื่อคนมีเงินมีสิทธิ์ที่จะยืดต่ออายุได้ รัฐบาลไม่สามารถปล่อยให้คนจนต้องล้มละลายเพื่อต่อชีวิต ซึ่งสุดท้ายก็ต่อไม่ได้นาน เมื่อหมดเงิน”

อีกคนหนึ่งที่ต้องจารึกชื่อไว้ คือ ท่านรองนายกรัฐมนตรีไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ซึ่งพื้นเพมาจากลูกชาวนาและเป็นคนสำคัญที่ตัดสินใจอย่างมุ่งมั่นและแน่วแน่ให้เสนอเรื่องนี้ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา โดยเป็นรองนายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้ผลักดันคนสำคัญให้เกิดสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส และเป็นผู้เสนอโครงการสร้างโรงงานวัคซีนไข้หวัดใหญ่ขององค์การเภสัชกรรมด้วย

*******************