posttoday

คณะถอยหลัง

24 ธันวาคม 2563

โดย...ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์

********************

การเลือกตั้งนายกและสมาชิกสภาจังหวัด (นายก อบจ.และสมาชิก อบจ.) เมื่อ 20 ธันวาคม 2563 อยู่ในความสนใจของประชาชนมากกว่าการเลือกตั้งครังก่อน ๆ เพราะครังนี้ คณะก้าวหน้า โดยธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ปิยบุตร แสงกนกกุล และ พรรณิการ์ วานิช หรือ “ทอน-ปิ-ช่อ” สามสหายให้ความสำคัญอย่างมาก และทุ่มเทแบ่งกันเดินสายหาเสียงให้กับผู้สมัครอย่างเต็มที่ โดยส่งผู้สมัครนายก อบจ.42 คน เฉพาะจงหวัดที่มั่นใจว่ามีโอกาสจะได้รับเลือกมากที่สุด และส่งผู้สมัครสมาชิกสภาจังหวัดอีกจำนวนหนึ่ง

เป็นการเลือกตั้ง อบจ.ครั้งแรกนับแต่ คสช.ยึดอำนาจเมื่อปี 2557 และประกาศยุบองค์การบริหารจังหวัดทุกระดับ หลังจากการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนมีนาคม 2562 แล้ว 20 ธันวาคม 2563 มีการเลือกตั้งนายกและสมาชิก อบจ.76 จังหวัด (ยกเว้น กทม.) พอเดือนเมษายน 2564 จะมีการเลือกตั้งระดับเทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) หลังจากนั้น ในไตรมาส 2 หรือ 3 ของปี 2564 ก็จะมีการเลือกตั้งผู้ว่า กทม.และนายกเมืองพัทยา จากนั้นอีกปีครึ่งถึงสองปี ก็จะมีการเลือกตั้งทั่วไปอีกครั้ง (ถ้าไม่มีการยุบสภาเกิดขึ้นก่อน)

เราไม่แปลกใจเมื่อธนาธรเปิดเผยก่อนเลือกตั้งว่า เขาทุ่มเทกับการเมืองท้องถิ่นมาก เพราะนอกจากใกล้ชิดกับประชาชนมากกว่า ยังเป็นการเมืองที่มีตัวแทนประชาชนในท้องถิ่นรวมกันมากกว่า ส.ส.เสียอีก และเข้าถึง สัมผัสกับประชาชนโดยตรงมากกว่า ส.ส. ใช้งบประมาณลงไปพัฒนาท้องถิ่นโดยตรงให้กับประชาชน ที่สำคัญคือ ถ้ายึดการเมืองท้องถิ่นได้ ก็เท่ากับเป็นฐานให้กับการเมืองระดับชาติ

เป็นประชาธิปไตยโดยตรง ใช้ประชาธิปไตยท้องถิ่นไปสนับสนุนประชาธิปไตยระดับชาติที่พรรคได้เน้นตลอดมา

ในเมื่อเขาและพรรคอนาคตใหม่ทำให้คนไทยช็อคกับการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2562 มาแล้ว เขาหวังว่าจะสร้างความตื่นเต้นและพลิกหน้าใหม่ของประวัติศาสตร์การเมื้องท้องถิ่นให้คนไทยช็อคอีกครั้งหนึ่ง

เขาแจกแจงตัวเลขงบประมาณประจำปีของ อบจ.แต่ละแห่งจำนวนหลายร้อยและเป็นพันล้านบาท ที่นำไปใช้โดยตรงกับประชาชนได้เลย โดยเขาเน้นไปที่ขนชั้นกลางระดับล่างและผู้มีรายได้น้อยให้ได้ประโยชน์จริงๆ นัยหนึ่ง มุ่งช่วยเหลือคนที่มีรายได้น้อยเป็นสำคัญ ฯลฯ หากผู้สมัครจากคณะก้าวหน้า+พรรคก้าวไกลชนะ เราคงเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ

ฟังธนาธรให้สัมภาษณ์ด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ ท่าทีสุขุม ลุ่มลึก สรรหา “สโลแกน” เพราะ ๆ ที่ลอกของฝรั่งมา ให้นักเรียนนิสิตนักศึกษา และคนหนุ่มสาวเพ้อหา สร้างความมั่นใจว่าเขาจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในการเมืองระดับท้องถิ่น เหมือนกับที่เขาทำให้พรรคการเมืองใหญ่ช็อคและคนไทยแปลกใจมาแล้วในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อต้นปี 2562

แล้วก็ช็อคจริง ๆ โดยเฉพาะกับธนาธร-ปิยบุตร-พรรณิการ์ และพรรคก้าวไกลที่แปลงโฉมมาจากพรรคอนาคตใหม่ซึ่งถูกยุบ บรรดาแฟนคลับของสามสหายก็ช็อคไปด้วย สรุปก็คือ ไม่สามารถลุยรื้อ”บ้านใหญ่” หรือ “ผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น” ได้ อีกนัยหนึ่ง ยังไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของคนท้องถิ่นให้เห็นพ้องกับแนวทางของตนได้ ผู้สมัคร 42 คนที่ได้รับการคัดเลือกมาแล้วและส่งลงเฉพาะจังหวัดที่คิดว่าจะได้รับเลือกแน่ ๆ สอบตกทั้งหมด แม้แต่จังหวัดระนองที่มีผู้สมัครจากคณะนี้คนเดียว ยังไม่ได้รับเลือกเพราะแพ้คะแนนเสียงโนโหวต

ถึงกระนั้น ธนาธรก็ต้องหาอะไรมาปลอบใจตัวเองและพรรคพวก โดยเล่นกับตัวเลขจำนวนคะแนนเสียงที่ได้รับจากการส่งผู้สมัคร 42 คนลงแข่งนายก อบจ.ใน 42 จังหวัด แม้จะตกหมด แต่ก็ได้เสียงรวมกัน 2.6 ล้านคะแนน และยังดีที่ได้สมาชิกสภา อบจ.อีก 55 คนใน 18 จังหวัด (เทียบกับการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อกุมภาพันธ์ 2562 ที่ได้เสียงใน 18 จังหวัดรวม 3.1 ล้านเสียง สิ่งที่ธนาธรสรุป คือ ได้คะแนนดิบน้อยลง แต่ได้คะแนนนิยมมากขึ้น

คณะก้าวหน้า+พรรคก้าวไกล ยังมีสนามที่จะทดสอบความนิยมจากประชาชนในการเลือกตั้งเทศบาลและ อบต.ในปีต่อไป

มีคนมือไวด่วนโพสต์ข้อความที่มีคนแคปไว้ได้ก่อนที่จะถูกลบไปในเวลาต่อไปมา แทนที่จะดูตัวเอง กลับกล่าวหาประชาชนว่า “ ผลการเลือกตั้ง อบจ.นี้ แสดงให้ว่า คนไทยยังไม่ยอมเปิดใจ และยังไม่พร้อมสำหรับอนาคตที่ดีกว่า “ สำนวนแบบนี้ คอการเมืองบอกว่าคุ้นมาก และเป็นสำนวนที่มักจะใช้เมื่อไม่ได้อะไรดังใจ ก็โทษประชาชนว่ายังไม่พร้อมกับ “อนาคตที่ดีกว่า” ที่พวกเขาเสนอให้

ก่อนเลือกตั้งก็ประกาศว่า ประชาชนจะเป็นผุ้ตัดสิน แต่พอแพ้เลือกตั้งแล้วกลับกล่าวหาประชาชนทำนองว่าชอบดักดานอยู่กับของเก่า ไม่ยอมรับสิ่งดี ๆ ที่พวกเขาเสนอให้ถ้าไม่รู้ (หรือรู้แล้วแต่รับไม่ได้) ก็อยากจะสะท้อนความเห็นของคนทั่วไปว่า ทำไมคะแนนนิยมของธนาธร ไม่เหมือนกับปี 2562 ประเด็นสำคัญที่สุดคือ พวกเขาไม่สามารถแก้คำกล่าวหาที่ว่า “ล้มเจ้า”นี่ยังไม่รวมถึงคำว่า “ชังชาติ”

สมญานี้ถูกบัญญัติขึ้นจากพฤติกรรมของธนาธร+ปิยบุตร+พรรณิการ์ ซึ่งไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น แต่สื่อขุดคุ้ยย้อนหลังไปกว่าสิบปีมาแล้วตั้งแต่หนังสือ “ปอเตร ธนาธร” “ฟ้าเดียวกัน” และพฤติกรรมหลังจากนั้น รวมทั้งปิยบุตรที่วัน ๆ เอาแต่บ้าเรื่องการปฏิวัติฝรั่งเศส คณะราษฎร 2475 ฯลฯ จนชาวบ้านเชื่อไปแล้วว่า หากเลือกตัวแทนจากกลุ่มนี้ จะเป็นอันตรายต่อสถาบันสูงสุดของประเทศอย่างยิ่ง

นอกจากนั้น ธนาธรยังถูกกล่าวหาว่าสนับสนุนม็อบมุ้งมิ้งที่ประกาศ “ปฏิรูป” กษัตริย์สามเวลาหลังอาหาร

จริงไม่จริงไม่ทราบ แต่ชาวบ้านเชื่อไปแล้วว่าคนกลุ่มนี้คิดลัมเจ้า จึงไม่แปลกใจว่าทำไมเวลาธนาธรไปหาเสียงช่วยผู้สมัครในต่างจังหวัด จึงโดนคนท้องถิ่นตามก่อกวน ต่อต้าน ตะโกนด่า เพลง “หนักแผ่นดิน” ซึ่งโด่งดังมากช่วงก่อนปี 2519 ถูกนำมาเปิดขับไล่ธนาธรเมื่อไปหาเสียงช่วยผู้สมัคร เรื่องนี้ถือว่าใหญ่มาก และธนาธรก็ไม่สามารถใช้วาทะชี้แจงกับประชาชนเหล่านั้นได้ แม้ธนาธรจะมีวาทะและเหตุผลที่ดี แต่ชาวบ้านฟังไม่รู้เรื่อง ( ต้องใช้กับหนุ่มสาวนักศึกษาปัญญาชนในตัวเมืองเท่านั้น ) เพลงนี้เงียบไปหลังจากตุลา 19 แม้จะเกิดวิกฤติการเมืองหลายครั้ง แต่ทุกฝ่ายพยายามยับยั้งชั่งใจไม่นำเพลงนี้มาใช้อีก นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 44 ปีที่มีการเปิดเพลงใส่นักการเมือง

ส่วนนายปิยบุตร นั้นยิ่งไปใหญ่ ภาพลักษณ์ที่เพ้อเจ้อถึงแต่การปฏิวัติฝรังเศส ค.ศ.1789 และคณะราษฎร 2475 มีเสียงวิจารณ์ว่า ความคิดและคำพูดของคนผู้นี้ลอกมาจากตำราฝรั่งล้วน ๆ ไม่ได้มีความคิดความอ่านอะไรเป็นของตนเองเลย

ไม่น่าเชื่อว่า เวลาผ่านไปเพียง 2 ปี แกนนำของอดีตพรรคอนาคตใหม่ หรือคณะก้าวหน้าในปัจจุบัน ที่เปิดหน้าใหม่ประวัติศาสตร์การเมืองไทยเมื่อปี 2562 จะตกต่ำถึงขนาดนี้ หากยังหลงอยู่กับ ส.ส. 80 กว่าเสียงที่ได้มาเพราะบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญปี 2560 ยังไม่รู้ว่าในการเลือกตั้งครั้งต่อไป จะเหลือ ส.ส.เท่าไร

เคยมีบทความเรื่อง “ ถ้าอนาคตใหม่เป็นรัฐบาล “ ซึ่งธนาธรเตยให้สัมภาษณ์สื่อ และมีการเผยแพร่กันอย่างกว้างขวาง หากธนาธรยังไม่ปลดปล่อยตัวเองออกจากความคิดเดิม ๆ ที่มุ่งแต่จะ “รื้อ” บ้านเดิมทิ้งและสร้างบ้านใหม่ขึ้นมาแทน แทนที่จะรักษาของดีไว้ และ “ปรับปรุง” ส่วนที่ไม่ดีให้ดีขึ้น ถ้าไม่ลดความ “ห้าว” ลงบ้าง ก็ไม่รู้ว่า อนาคตของแกนนำอดีตพรรคอนาคตใหม่ คณะนี้ จะไปไกลถึงฝันที่เคยประกาศไว้เมื่อ กันยายน 2563 หรือไม่

เพียง 2-3 ปีที่ผ่านมา คนหนุ่มสาวกลุ่มนี้คงได้บทเรียนทั้งบวกและลบมากมาย สิ่งใดที่ดีอยู่แล้วก็รักษาไว้และทำให้ดีขึ้น สิ่งใดที่ถูกประชาชนตำหนิ คัดค้าน ไม่เห็นด้วย ก็ต้องปรับให้สอดคล้องกับสังคมส่วนใหญ่ และให้เป็นไปตามจังหวะเวลาที่เหมาะสม รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา วันเวลาที่ผ่านไปจะให้ข้อคิดและประสบการณ์ชีวิตอีกมากมาย

คนเรา “ฉลาด” อย่างเดียวไม่พอ ต้อง “เฉลียว” ด้วย นอกจากมี” ความรู้” แล้ว ต้องมี “ปัญญา” และมี “สติ” กำกับ งานการจึงจะสำเร็จสมบูรณ์ด้วยดี สำคัญที่สุด คือ ต้อง “คิดดีต่อบ้านเมือง” ความคิดดีที่สังคมส่วนใหญ่เห็นพ้อง

**********************