posttoday

เหลียวหลังแลหน้าไวรัสอู่ฮั่น (27)

01 กันยายน 2563

โดย...น.พ.วิชัย โชควิวัฒน

****************

มีคำเปรียบเปรย (analogy) ในลักษณะเสียดเย้ย (satire) ที่น่าคิดว่า นักวิชาการคือคนที่จับแมวดำในห้องมืด นักบริหารคือคนที่จับแมวดำในห้องมืดโดยที่ตัวเองไม่ได้อยู่ในห้องนั้น ส่วนนักการเมืองคือคนที่จับแมวดำในห้องมืดโดยตัวเองไม่ได้อยู่ในห้องนั้นแต่ต้องบอกกับประชาชนว่าจับแมวได้แล้ว

การประกาศขึ้นทะเบียนวัคซีน “สปุตนิก 5” ของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินแห่งรัสเซียเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการประกาศว่าตน “จับแมวดำได้แล้ว”

การจับแมวดำในห้องมืดเป็นงานยาก เพราะแมวดำวิ่งหนีได้ตลอดเวลา ห้องก็มืดมีซอกมุมมากมาย ข้าวของก็ระเกะระกะ การที่จะจับแมวดำในห้องมืดได้ต้องใช้ “มืออาชีพ” ที่มีความรู้ความสามารถวางแผนหาวิธีการจับ นั่นคือ การศึกษาวิจัยที่ต้องมีการออกแบบอย่างดี มีการตั้งสมมติฐานและวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน เป็นไปได้ มีระเบียบวิธีวิจัยที่ถูกต้องและมีวิธีดำเนินการ การวิเคราะห์ วิจารณ์ และสรุปอย่างเป็นขั้นตอน โดยบ่อยครั้งที่แม้จะทำทุกอย่างอย่างดีแล้วก็ยังจับแมวดำตัวนั้นไม่ได้

สำหรับนักบริหาร มีหน้าที่เลือกใช้นักวิชาการที่ถูกคน ให้การสนับสนุนและช่วยแก้ปัญหาให้อย่างเหมาะสม ถูกจังหวะ ถูกเวลา ก็จะช่วยให้นักวิชาการจับแมวดำได้

ส่วนนักการเมือง มักถูกกดดันให้ต้องแสดงบทบาท “ทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้ได้” (make thing impossible possible) บางครั้งจึงต้องตัดสินใจประกาศว่า “จับแมวดำได้แล้ว” ทั้งๆ ที่ยังไม่เคยเห็นแมวตัวนั้น

หลายสิบปีก่อน ในเมืองไทยเคยมีกรณี “เสือดำมักกะสัน” คือมีข่าวคนพบเสือดำมาเพ่นพ่านอยู่บริเวณบึงมักกะสัน ทำให้ชาวบ้านแถบนั้นหวาดผวากันจนไม่เป็นอันหลับอันนอน แทบทุกเช้าจะมีข่าวพาดหัวตัวโตในหนังสือพิมพ์หลายฉบับว่าเสือดำไปอาละวาดที่โน่นที่นี่ เห็นรอยตีนบ้าง เห็นซากไก่ ซากหมาถูกกินบ้าง เจ้าหน้าที่ต้องเอากรงไปคอยดักจับหลายคืนก็ไม่ได้ตัว สุดท้ายก็มีคน “หัวแหลม” ประกาศว่าจับเสือดำได้แล้ว โดยมีเสือดำตัวเขื่องอยู่ในกรงมาแสดงให้ดูตอนเช้าวันหนึ่ง ก่อนนำไปปล่อยในป่า หลังจากนั้นข่าวเสือดำมักกะสันก็เงียบหายไป ชาวบ้านนอนหลับสบาย

เบื้องหลังก็คือเสือดำตัวที่ “จับได้” และนำไปปล่อยนั้นมาจากสวนสัตว์ เพราะเสือดำมักกะสันแท้จริงแล้วเป็นเพียง “ข่าวลือ” ที่ผู้คนเชื่อกันอย่างกว้างขวางเท่านั้น

กรณีโควิด-19 เป็นเรื่องใหญ่โตมโหฬารที่แตกต่างจากกรณีเสือดำมักกะสันอย่างสิ้นเชิง เพราะเป็น “ของจริง” คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วหลายแสนคน เขย่าบัลลังก์ผู้นำประเทศต่างๆ ไปทั่วโลก ที่หนักหนาสาหัสที่สุดคือโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐที่นิตยสารไทม์ฉบับวันที่ 17, 24 สิงหาคม 2563 ทำภาพปกเป็นรูปประธานาธิบดีทรัมป์กำลังตะเกียกตะกายฝ่าคลื่นทะเลว่ายน้ำเข้าหาทำเนียบขาวที่โดนท่วมไปถึงชั้นสองแล้ว ท่ามกลางเชื้อโควิด-19 ที่ลอยฟ่องรอบตัวทรัมป์ ทรัมป์จะว่ายไปถึงทำเนียบขาวหรือจมน้ำไปเสียก่อนต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ก็รู้แล้ว

ทรัมป์เคยใช้วิธีการเดียวกับปูติน ทวีตข้อความว่าพบอาวุธที่จะ “พลิกเกม” เอาชนะโควิด-19 ได้แล้ว หลังจากนักวิชาการฝรั่งเศสออกมาแถลงผลการวิจัยว่ายาไฮดรอกซีคลอโรควินรักษาโรคนี้ได้ชะงัด คนไข้บางรายเชื้อหายไปหมดในเวลาไม่กี่วัน ทรัมป์ถึงขนาดบีบให้ อย.สหรัฐ ขึ้นทะเบียนยานี้ว่ารักษาโรคโควิด-19 ได้ และบีบบังคับให้โรงงานยาในอินเดียส่งทั้งยาสำเร็จรูปและวัตถุดิบสำหรับผลิตยานี้ให้สหรัฐ

แต่ต่อมาไม่นาน ก็พบว่า ผลงาน “วิจัย” ของนักวิชาการฝรั่งเศสคนนั้นเชื่อถือไม่ได้ คนไข้ส่วนใหญ่นอกจากไม่หายด้วยยานี้แล้ว ยายังทำให้คนไข้ตายมากขึ้นด้วย ทำให้ทรัมป์ “หน้าแตก” ยับเยิน โดยวงวิชาการทั่วโลกไม่มีใครเชื่อทรัมป์ มีแต่ประธานาธิบดีบราซิลที่เชื่อ และทำให้ชาวบราซิลเจ็บป่วยล้มตายด้วยโควิด-19 ตามหลังสหรัฐมาติดๆ

คำถามคือปูตินจะมีชะตากรรมเช่นเดียวกับทรัมป์หรือไม่

คำตอบสุดท้ายคงต้องติดตามต่อไปว่าวัคซีนสปุตนิก 5 ของปูตินจะปลอดภัยและได้ผลจริงหรือไม่ ซึ่งก็คงต้องใช้เวลาแรมเดือนหรืออาจเป็นปี

อย่างไรก็ดี ในเบื้องต้น สถานการณ์ของปูตินคงไม่เลวร้ายเท่าทรัมป์

ประการแรก สถานภาพของปูติน แตกต่างจากทรัมป์มาก ปูตินมีประสบการณ์การบริหารประเทศมาอย่าง “โชกโชน” โดยก้าวเข้าสู่วงการเมืองจากหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับเคจีบี ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีติดต่อกัน 2 สมัย จนต้องเว้นวรรคไปเป็นนายกรัฐมนตรีหนึ่งสมัยก่อนกลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง และเพิ่งประสบความสำเร็จในการแก้รัฐธรรมนูญให้ตนสามารถดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีได้ไม่จำกัดวาระ ฉะนั้นสถานภาพทางการเมืองจึงมั่นคงค่อนข้างสูง ขณะที่ทรัมป์กำลังทำท่าว่าจะเป็น “ประธานาธิบดีเพียงสมัยเดียว” (One term president)

ประการที่สอง สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในรัสเซียไม่เลวร้ายอย่างในสหรัฐ แม้จะควบคุมการแพร่ระบาดได้ไม่ดี แต่ก็ควบคุมสถานการณ์ด้านข่าว และด้านอื่นๆ ได้ดีกว่าในสหรัฐมาก

ประการที่สาม วัคซีนสปุตนิก 5 ของรัสเซีย มี “จุดเด่น” ที่ “แตกต่าง” จากวัคซีนตัวอื่นๆ ที่กำลังทดสอบอยู่ทั่วโลก แม้การศึกษาวิจัยในคนจะ “ออกแบบ” มาไม่ดีนัก และยังเป็นเพียงผลการวิจัยในคนระยะที่ 1/2 เท่านั้น

ข้อแรก วัคซีนของรัสเซียมีข้อเด่นที่น่าสนใจบางประการ วัคซีนสปุตนิก 5 ของรัสเซีย เป็นชนิดที่ทำจาก “อนุภาคเหมือนไวรัส” (virus like particle) ไม่ได้ทำจากตัวเชื้อทั้งตัว (whole cell) โดยทฤษฎีจึงค่อนข้างปลอดภัย

ข้อสอง วัคซีนสปุตนิก 5 เป็นชนิดที่เรียกว่า prime-boost คือมีการฉีด “ปูพื้น” (prime) ด้วยวัคซีนตัวหนึ่ง แล้ว “กระตุ้น” (boost) ด้วยวัคซีนตัวที่สอง ทำให้มีการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน 2 ครั้ง จึงมีโอกาสที่จะทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันได้ดี และมี “ศักยภาพ” (potential) ในการที่จะป้องกันโรคได้ดีขึ้น

ข้อสาม วัคซีนสปุตนิก 5 ออกแบบโดยใช้ไวรัสที่ทำให้เกิดโรคหวัด คือ เชื้อไวรัสอะดิโน (Adenovirus) 2 ชนิด เป็น “พาหะ” (vector) คือ rAd26 และ rAd5 ไวรัสนี้สามารถเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ และทำให้เกิดโรคหวัดแต่ไม่รุนแรงเหมือนไข้หวัดใหญ่ (Influenza) ไวรัสนี้จึงเป็น “พาหะ” นำ “อนุภาคเหมือนไวรัส” เข้าไปกระตุ้นร่างกายให้สร้างภูมิคุ้มกันได้

วัคซีนสปุตนิก 5 ใช้ไวรัสอะดิโน rAd26 สำหรับฉีด “ปูพื้น” (prime) และ กระตุ้น “boost” ด้วยวัคซีนที่มีไวรัสอะดิโน rAd5

การศึกษาวิจัยในคนระยะที่ 1 ของวัคซีนสปุตนิก 5 กลุ่มแรก 7 คน ฉีดเฉพาะวัคซีนปูพื้น กลุ่มที่ 2 อีก 7 คน เข็มแรกฉีดวัคซีนปูพื้น และกระตุ้นด้วยเข็มที่ 2 ในวันที่ 21 หลังฉีดเข็มแรก

ผลการทดสอบในคน 2 กลุ่มนี้ น่าจะชัดเจนว่ากลุ่มที่ได้รับทั้ง 2 เข็ม น่าจะกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันได้ดีกว่า จึงมีการนำไปฉีดทดสอบกับคนระยะที่ 2 จำนวนหนึ่งราว 30 คน (ต้องตรวจสอบจำนวนต่อไป)

จากการแถลงข่าวของปูติน วัคซีนทำให้เกิดอาการไข้ไม่สูง น่าจะเป็นผลจากไวรัสอะดิโนที่ปกติจะทำให้เกิดอาการไข้หวัด และพบว่ากระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดี ปูตินคงมั่นใจว่าวัคซีนนี้สร้างจาก “อนุภาคเหมือนไวรัส” จึงค่อนข้างปลอดภัย เมื่อพบว่ากระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันได้ดีจึง “ตัดสินใจทางการเมือง” บอกประชาชนว่า “จับแมวดำได้แล้ว” ด้วยการ “ชิง” ขึ้นทะเบียนผลิต จำหน่าย และโฆษณาอย่างครึกโครม

จนทำให้เกิดเสียงตอบรับทั้งดอกไม้และก้อนอิฐ

ข่าวล่าสุด

เบื้องหลังความสุขในเทศกาล AI ทำให้วันหยุดยาวดำเนินอย่างราบรื่น