การเมืองหรือการก่อการร้าย
ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์
โดย...ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์
*************************************
บทความนี้อาจจะช้าต่อสถานการณ์ไปสักหน่อย แต่อย่างน้อยก็ทำให้เห็นภาพชัดเจนมากยิ่งขึ้นจากความคืบหน้าในการสืบสวนสอบสวนของตำรวจ ที่สรุปได้ว่า มีผู้ก่อเหตุประมาณ 15 คน มีการแบ่งงานกัน บางแห่งทีมละ 2 คน บางแห่งก็คนเดียว ส่วนย่านประตูน้ำมี 4 คนซึ่งแยกย้ายนำระเบิดไปวางรวม 9 จุด มือระเบิดทั้งหมดซึ่งแยกย้ายปฏิบัติการตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2562 เวลาประมาณ 15.00 น. โดยตั้งเวลาให้ระเบิดตรงกันระหว่างเวลา 08.00-09.00 น.ของวันที่ 2 สิงหาคม 2562
เจ้าหน้าที่จับได้รวม 3 คนแล้ว และกำลังขยายผลการสืบสวนเพื่อนำไปสู่การจับกุมต่อไป ผู้ปฏิบัติการส่วนใหญ่เป็นคนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีประวัติเกี่ยวข้องกับการก่อความไม่สงบในพื้นที่ จากการสอบสวนเบื้องต้นของตำรวจพบว่า พวกนี้ไปรับแผนมาจากแกนนำที่ไปอาศัยอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน หลังปฏิบัติการวางระเบิดที่ กทม. ต่างคนต่างหลบหนีออกไปซ่อนตัวอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านซึ่งทำได้ในฐานะบุคคลสองสัญชาติ
เมื่อเสียงระเบิดดังขึ้นในช่วงเช้าวันที่ 2 สิงหาคม 2562 ในขณะที่ไทยกำลังเป็นเจ้าภาพประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนกับคู่เจรจาที่ กทม. เกิดคำถามขึ้นมากมายว่า เอาอีกแล้วหรือ เหตุการณ์จะซ้ำรอยกับปี 2552 ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพอาเซียนและผู้นำประเทศต่าง ๆ ที่มาประชุมที่พัทยา ต้องหนีหัวซุกหํวซุนกลับประเทศ เพราะคนไทยกลุ่มหนึ่งเล่นการเมืองโดยจับเอา “ชาติบ้านเมืองเป็นตัวประกัน” จนไทยไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหน ศักดิ์ศรีของประเทศแทบไม่เหลือ แล้วปี 2562 ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพอาเซียนอีกครั้งและเป็นโอกาสอันดีที่ไทยจะแก้ตัว แต่กลับมีระเบิดขึ้นใจกลางกรุง หมายความว่าอะไร ประเทศไทยถูกจับเป็นตัวประกันอีกแล้วหรือ
เมื่อตั้งสติได้ เราก็ต้องใจเย็น ๆ และตอบคำถามเป็นข้อ ๆ คือ (1) ใครทำ (2) ทำไมเขาต้องทำตอนนี้ (3) คนทำหวังผลอะไร (4) ใครได้ใครเสียจากผลที่เกิดขึ้น (5) เราจะปรับปรุงมาตรการการข่าวและการรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติมอย่างไรบ้าง โดยไม่จำเป็นต้องตอบคำถามเรียงข้อ ข้อไหนตอบได้ก่อนก็เอาข้อนั้น แล้วมันจะโยงไปตอบคำถามข้ออื่นเอง
“คนทำ”คือใคร ยืนยัน ได้ว่าผู้ปฏิบัติการเป็นกลุ่มก่อการร้ายจากชายแดนภาคใต้ เพราะมือระเบิด ยอมรับ ดังนั้น ตำรวจก็ต้องขยายผลไปสู่ “ผู้วางแผน” และ “มาสเตอร์ไมด์” ว่าคือใคร เวลานี้อาจรู้แล้วก็ได้ ซึ่งคงเป็นแกนนำขบวนการที่หลบหนีไปซ่อนตัวอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านนั่นเอง
“ทำไมเขาต้องทำช่วงนี้” ทำไมไม่ทำก่อนหน้านี้หรือหลังจากนี้ คำตอบก็คือ คนวางแผนตั้งใจเลือกที่จะทำในช่วงที่ไทยเป็นเจ้าภาพการประชุมอาเซียน ซึ่งเป็นเวลาที่ผู้สื่อข่าวต่างประเทศนับร้อยคนมาชุมนุมทำข่าวที่ประเทศไทย มีผู้แทนจากประเทศอาเซียนและคู่เจรจามาอยู่ที่ กทม. ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่จะเผยแพร่ขาวนี้ไปทั่วโลก มีแนวโน้มว่า องค์กรก่อการร้าย บี.อาร์.เอ็น น่าจะอยู่เบื้องหลัง การเลือกกระทำในช่วงนี้นอกจากเหตุผลข้างต้น เขาอาจถือโอกาสเป็นการสร้างผลงานในวันครบรอบก่อตั้งกองกำลัง บี.อาร์.เอ็น. 1 สิงหาคม ด้วยก็ได้
“ใครได้เสียจากผลที่เกิดขึ้น ” แน่นอน รัฐบาลไทยย่อมได้รับผลกระทบจากสิ่งที่เกิดขึ้น ส่วนผู้ที่ได้ประโยชน์นอกจากขบวนการ บี.อาร์.เอ็น และกลุ่มแบ่งแยกดินแดนแล้ว พรรคและกลุ่มการเมืองที่อยู่ตรงข้ามรัฐบาลย่อมได้ประโยชน์เพราะความน่าเชื่อถือของรัฐบาลถูกกระทบโดยตรง แต่ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่กล้าที่จะแสดงออกอย่างเปิดเผยเพราะจะถูกหาว่ากำลังเล่นกับความเสียหายของชาติบ้านเมือง ที่อาจเกิดกระแสตีกลับส่งผลลบต่อฝ่ายค้านได้
เป็นที่น่าสังเกตว่าการก่อเหตุร้ายทั้งลอบวางระเบิดและวางเพลิงไม่ได้หวังผลในการก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงและเสียชีวิต เหมือนกับระเบิดในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ต้องการให้เกิดเสียงดังมากกว่า มีการวิเคราะห์ว่า เป็น “ระเบิดเชิงสัญลักษณ์” กล่าวคือ แม้ไม่ได้วางระเบิดที่พื้นที่เป้าหมายโดยตรง โดยไปวางไว้ใกล้ ๆ เป้าหมาย
แต่สะท้อนให้เห็นว่า 1) ระเบิดที่ศูนย์ราชการ เป็นการโจมตีสัญลักษณ์ของการบริหารราชการของไทย (2) สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นการโจมตีสัญลักษณ์ของศูนย์อำนาจทางการทหาร ซึ่งส่งทหารไปปราบปรามพวกเขา (3) เป้าหมายใกล้เคียงตึก สยามพารากอน อาคารมหานคร ประตูน้ำ เป็นสัญลักษณฺด้านเศรษฐกิจชาติ (4) บีทีเอส. เป็นเป้าหมายด้านคมนาคมคนกรุง (5) ตึกคิงพาวเวอร์ ซึ่งยังตีความไม่ออกว่าหมายถึงอะไร หรือเป็นส่วนหนึ่งของศูนย์กลางเศรษฐกิจ (6) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นสัญลักษณ์แห่งการใช้อำนาจจับกุมคุมขัง
ที่น่าสังเกตคือ ยังไม่มีองค์กรก่อการร้ายใดประกาศรับผิดชอบระเบิดดังกล่าว เพราะใครประกาศตัวว่าเป็นคนทำก็จะถูกคนไทยและทั่วโลกก่นด่า เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังการระเบิด กลุ่มการเมืองตรงข้ามรัฐบาลและกลุ่มก่อความไม่สงบในชายแดนภาคใต้ยังเงียบอยู่ ไม่มีการขยายผลในเรื่องนี้อย่างที่ควรจะเป็น แม้แต่การเร่งรัดให้มีการพบปะพูดคุยเร็วขึ้น
จากการสอบสวนเบื้องต้น มีการวางแผนปฏิบัติการแบบมืออาชีพ อาทิ มีการแบ่งงานกันทำ หรือ “ตัดตอนการทำงาน” เพื่อไม่ให้รู้จักกันทั้งหมดหากถูกจับกุม จะได้ไม่มีการให้การพาดพิงไปถึงคนอื่น ตามหลักการของการปฏิบัติงานลับ มือระเบิดได้ไป “สำรวจสถานที่” เป้าหมายก่อนการลงมือทำงานเพื่อให้รู้ทางหนีทีไล่ จุดเข้าและออกจากพื้นที่เป้าหมายที่ปลอดภัยที่สุด ผู้ปฏิบัติงานมารับระเบิดจากมือประกอบระเบิด ณ จุดนัดพบใน กทม. ก่อนเวลาปฏิบัติการไม่นาน เพื่อไม่ให้ผู้ปฏิบัติการเสี่ยงต่อการถูกจับ
โดยผู้ปฏิบัติการจะครอบครองระเบิดไว้ในเวลาที่สั้นที่สุด เพราะระเบิดเป็นสิ่งผิดกฎหมาย มีการปิดบังหน้าด้วยผ้ากันฝุ่นซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับคนในเมืองหลวง แต่งตัวใส่เสื้อแขนยาวเรียบร้อยแบบนักศึกษา การปฏิบัติงานลงมือทำงานอย่างใจเย็น แสดงว่ามีประสบการณ์ จากนั้นแยกย้ายกันกลับ เปลี่ยนแท็กซี่สองทอดและเปลี่ยนเสือผ้าเพื่อป้องกันการสะกดรอยติดตาม มีการตั้งเวลาให้ระเบิดในเวลาใกล้เคียงกันคือรุ่งเช้าของวันรุ่งขึ้น ส่วนมือระเบิดรีบเดินทางกลับหรือออกห่างพื้นที่ปฏิบัติการให้มากที่สุดก่อนระเบิดวันรุ่งขึ้น
มีคำถามสำคัญที่ใคร ๆ ก็อยากรู้ คือ ระเบิดดังกล่าวเป็น “ ระเบิดการเมือง ” ที่มีนักการเมืองวางแผนก่อกวนและยืมมือผู้ก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งได้ประโยชน์ร่วมกันในการทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาล หรือเป็น “ ระเบิดก่อการร้าย” จากฝีมือของกลุ่มแบ่งแยกดินแดน
ส่วนคนที่ถูกจับได้ทั้งหมดล้วนเป็นผู้ก่อความสงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น เคยถูกใช้มาแล้วโดยนักการเมืองที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับพวกนี้โดยมีผลประโยชน์ร่วมทางการเมือง หลายปีที่ผ่านมา เวลานักการเมืองจะสร้างสถานการณ์ ก็มักจะจ้างพวกนี้ให้ขึ้นมาก่อเหตุ เพราะเวลานี้ คนที่ก่อการร้ายได้ก็เหลือแต่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้นี่แหละ ก่อเหตุก็หนีไปอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน ตำรวจไทยจับไม่ได้ เมื่อจับไม่ได้ ความลับว่าใครคือมาสเตอร์ไมด์ก็ไม่ถูกเปิดเผย
ตำรวจไทยอาจสืบไม่ถึงว่าใครคือ “มาสเตอร์ไมด์” แต่ตำรวจสันติบาลน่าจะรู้ดี
ดูเหมือนว่า ผู้แทนจากประเทศต่าง ๆที่มาประชุม ไม่ได้วิตกกังวลกับระเบิดที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด คนไทยก็ยังดำเนินชีวิตตามปกติ ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด แต่กลับกลายเป็นว่า ฝ่ายการเมืองที่อยู่ตรงข้ามรัฐบาลฉวยโอกาสปล่อยข่าวโจมตีว่ารัฐบาลทำเองเพื่อสร้างสถานการณ์บ้าง เป็นการขัดแย้งภายในบ้าง มีคนที่ไม่พอใจที่ถูกลดอำนาจจึงสร้างสถานการณ์ขึ้นบ้าง ฯลฯ แต่ไม่ได้ผลเพราะสังคมไม่เชื่อว่ารัฐบาลทำเอง นอกจากนั้น ยังถูกสังคมโจมตีว่า พวก “ไทย อนาลิติก้า” เอาเรื่องบ้านเมืองมาเป็นเรื่องการเมืองได้ทุกเรื่องทุกเวลา
นี่เป็นอีกบทเรียนหนึ่งสำหรับหน่วยงานด้านความมั่นคง เมื่อไทยเป็นเจ้าภาพการประชุมระหว่างประเทศ เจ้าหน้าที่อย่าให้น้ำหนักด้านการรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญ การรักษาความปลอดภัยสถานที่ประชุม ที่พัก เส้นทางไป-กลับการประชุม การชุมนุมในประเทศ ฯลฯ อย่างเดียว แต่ต้องระวังและป้องกันการก่อการร้ายและการใช้ความรุนแรงทางการเมืองในประเทศที่จะทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศเสียหายด้วย
สิ่งที่เกิดขึ้นต้องถือว่าเป็นบทเรียนสำหรับชาว กทม.และปริมณทล ที่ต้องช่วยกันสอดส่องดูแลสิ่งผิดปกติรอบตัว เหตุการณ์ครั้งนี้พบว่า ผู้ก่อการร้ายกลุ่มนี้แต่งตัวคล้าย ๆ กัน กล่าวคือ เป็นคนรุ่นหนุ่ม แต่งตัวดีคล้ายนักศึกษา สะพายเป้ ปิดหน้า อาจมีท่าทางพิรุธ หรือไปเลียบ ๆ เคียง ๆ ดูสถานที่ราชการ ฯลฯ อย่างผิดสังเกต คนที่เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าตามห้องน้ำห้างสรรพสินค้า สงสัยใครให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทราบ แต่อย่าแกล้งกัน คนขับรถแท็กซี่และวินมอเตอร์ไซค์ซึ่งครั้งนี้ช่วยเหลือสังคมได้มากให้ช่วยกันสังเกตผู้โดยสารที่ทำตัวผิดปกติ ร้านค้าต่าง ๆ ก็ต้องดูแลตัวเองมากขึ้น เจ้าของห้องเช่า แฟลต คอนโดฯลฯ ควรให้ความสนใจกับผู้เข้าพักที่ผิดปกติด้วย
พระเอกของเรื่องนี้ก็คือ โทรทัศน์วงจรปิด ที่คนร้ายคิดไม่ถึงว่า สุดท้ายตัวเองจะแพ้เจ้ากล้องวงจรปิดนี่เอง