posttoday

ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์ ถอดรหัสลับบึ้มราชประสงค์

23 สิงหาคม 2558

ท่ามกลางสารพัดข้อสันนิษฐานและเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา ถึงความเป็นไปได้

โดย...ปริญญา ชูเลขา

ท่ามกลางสารพัดข้อสันนิษฐานและเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา ถึงความเป็นไปได้ของสาเหตุการวางระเบิดสังหารชนิดรุนแรงที่สังเวยชีวิตประชาชน 20 ราย บาดเจ็บนับร้อย บริเวณศาลพระพรหม แยกราชประสงค์ เมื่อค่ำวันที่ 17 ส.ค.ที่ผ่านมา ทุกคนต้องการคำตอบ...ใครคือเบื้องหลังความอำมหิต

จากวัตถุพยานกับภาพจากกล้องวงจรปิดพุ่งเป้าไปยังชายต่างชาติผู้ต้องสงสัย ซึ่งเป็นกุญแจดอกสำคัญในการสาวไปถึงผู้ร่วมขบวนการ แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่สามารถฟันธงได้ว่าเป็นฝีมือกลุ่มใด และมีวัตถุประสงค์ใด “โพสต์ทูเดย์” สัมภาษณ์พิเศษ “ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์” อดีตผู้อำนวยการ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ กูรูงานข่าวกรองมากกว่า 40 ปี เพื่อถอดรหัสปริศนา และแนวโน้มความเป็นไปได้ที่จะนำไปสู่การควานหาผู้อยู่เบื้องหลัง

ฟันธงไม่ใช่ก่อการร้าย-อุยกูร์

ในฐานะเป็นคนมีข้อมูลลึกเป็นพิเศษ ภุมรัตน มั่นใจว่าเหตุการณ์นี้ไม่น่าจะเป็นการก่อการร้ายสากล และให้น้ำหนักในเรื่องนี้น้อยมาก เหตุผล คือ 1.การก่อการร้ายระหว่างประเทศ ซึ่งใช้ความรุนแรงมากขนาดนี้ได้ภายใน 24 ชั่วโมง หรือ 48 ชั่วโมง จะต้องมีกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งออกมาแสดงความรับผิดชอบว่าเป็นผู้ลงมือกระทำ เพื่อสร้างเครดิตให้กลุ่มตัวเอง อาทิ กลุ่มไอเอส หรือกลุ่มเฮซบอลเลาะห์ เป็นต้น

2.กลุ่มก่อการร้ายระหว่างประเทศในประเทศไทย มีเป้าหมายอยู่ที่สหรัฐ ยุโรปบางประเทศ และกลุ่มชาวยิว หรืออิสราเอลเท่านั้น หากเป็นการก่อการร้ายสากลจริง สหรัฐทั้งเอฟบีไอ ซีไอเอ ที่มีความร่วมมืองานข่าวกรองกับไทยมาโดยตลอดต้องแจ้งเตือนมาว่าต้นตอมาจากที่ไหน

“จะเข้ามาเมื่อไร และอย่างไร เมื่อเข้ามาเคลื่อนไหวในประเทศไทย ทางสหรัฐต้องแจ้งเตือนหรือบอกให้ทราบ โดยเป็นความร่วมมือกัน เพราะเป็นผลประโยชน์ร่วมกัน แต่ที่ผ่านมาหน่วยข่าวกรองที่เป็นพันธมิตรในต่างประเทศไม่ได้แจ้งเตือนประเทศไทยแต่อย่างใด

“สิ่งที่เกิดขึ้นที่ราชประสงค์กลับมาก่อเหตุที่ศาลพระพรหม ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับโบสถ์หรือสถานที่สำคัญของชนชาติยิว หรือชาติตะวันตกแต่อย่างใด ที่สำคัญศาลพระพรหมไม่ได้เป็นสัญลักษณ์ของสหรัฐ เป็นเพียงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่คนทั่วไปเข้ามาสักการะบูชา ใครๆ ก็เข้ามาได้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นน้ำหนักการก่อการร้ายระหว่างประเทศผมจึงตัดไป

“โดยเฉพาะประเด็นกลุ่มอุยกูร์ที่สื่อต่างประเทศประโคมข่าวว่าอาจเป็นผู้บงการการก่อเหตุในครั้งนี้ แม้จะมีการโยงกันว่ากลุ่มอุยกูร์มีส่วนเกี่ยวข้องหรือขัดแย้งกับชาวจีน ซึ่งเสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนี้ ผมก็ยังถือว่ามีน้ำหนักความน่าจะเป็นน้อยมาก แม้ว่าเหยื่อผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากจะเป็นคนจีนก็ตาม”

ภุมรัตน ระบุว่า แม้ช่วงแรกๆ เกิดกระแสข่าวว่ากลุ่มเป้าหมายน่าจะเป็นคนจีน แต่เขาเชื่อว่าไม่ใช่ เพราะศาลพระพรหมเป็นเพียงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่นักท่องเที่ยวในเอเชีย โดยเฉพาะคนจีนสัญชาติสิงคโปร์ คนจีนสัญชาติฮ่องกง หรือคนไต้หวัน ที่มีความเชื่อถือศรัทธามาเคารพสักการะหรือมาขอพรเรื่องการทำมาค้าขาย

เหตุผลที่เลือกจุดก่อเหตุเป็นบริเวณนี้ก็เพื่อทำให้คนต่างเชื้อชาติที่มารวมตัวกันบริเวณศาลพระพรหมสูญเสียจำนวนมากเท่านั้น ที่สำคัญที่สุดทางรัฐบาลจีนได้ยืนยันแล้วว่าเหตุการณ์นี้ไม่ได้เกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงกับกลุ่มอุยกูร์ คำยืนยันจากเจ้าของประเทศจึงทำให้ประเด็นอุยกูร์ไม่มีน้ำหนัก

“ทางรัฐบาลจีนยืนยันแล้วว่าได้ติดตามการเคลื่อนไหวของกลุ่มอุยกูร์มาโดยตลอด และถ้าพิจารณารูปแบบการเคลื่อนไหวของกลุ่มอุยกูร์ไม่เคยวางระเบิดนอกประเทศเลย และแม้จะเคยวางระเบิดในจีน แต่ก็ไม่ใช่วิธีการแบบนี้

“สิ่งที่ต้องระวัง คือ การปล่อยข่าวลือออกไปว่าเป็นกลุ่มอุยกูร์ เพื่อให้เกิดการเบี่ยงเบนประเด็น หรือแม้แต่ประเทศตุรกีก็ปฏิเสธว่าไม่ใช่ เพราะฉะนั้นกลุ่มอุยกูร์ที่เกี่ยวกับกลุ่มเติร์กไม่ใช่แน่นอน ดังนั้นในชั้นนี้ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะเป็นไปได้ หรือแม้จะเป็นกลุ่มที่โกรธแค้นแทนกลุ่มอุยกูร์ก็คงเป็นไปได้เช่นกัน” ภุมรัตน กล่าวฟันธงอย่างมั่นใจ

มุ่ง 2 ปมโยงการเมืองภายใน-นอกประเทศ

คำถามตามมาแล้วเป็นใครทำล่ะ? ภุมรัตนนิ่งคิดเล็กน้อย พร้อมกับหยิบสมุดบันทึกเล่มหนาที่จดข้อมูลไว้เต็มทุกหน้าขึ้นมาพร้อมกล่าวด้วยเสียงเข้มขรึมว่า “ผมให้น้ำหนักแนวโน้ม หรือเหตุจูงใจไว้ 2 กลุ่มสำคัญ คือ การเมืองภายในคนไทยด้วยกันเอง กับต่างประเทศ ชาติอื่นที่เป็นคนลงมือกระทำ”

ภุมรัตน อธิบายว่า ต้องวิเคราะห์กลุ่มภายนอกประเทศให้หมดก่อน จากนั้นจึงมาวิเคราะห์กลุ่มภายในประเทศ โดยกลุ่มในประเทศก็ต้องพิจารณาจากซิกเนเจอร์ของระเบิดประกอบด้วย เพราะเหตุการณ์ขว้างระเบิดชนิดไปป์บอมบ์ลงแม่น้ำเจ้าพระยา ช่วงใต้สะพานสมเด็จพระเจ้าตากสิน ในวันถัดมา จริงๆ แล้วดินระเบิดที่ใช้มีความรุนแรงต่ำ

“ระเบิดไปป์บอมบ์ในเมืองไทยเคยมีการก่อเหตุ ทางเจ้าหน้าที่ต้องไปสืบดูว่าใครทำตรงนี้บ้าง บางข่าวระบุว่าอาจคล้ายกับเหตุการณ์ที่เคยมีระหว่างการชุมนุมทางการเมืองในอดีต ที่พบชายสองคนขี่จักรยานยนต์แล้วเกิดล้มเสียชีวิตบริเวณย่านมีนบุรี ใกล้ๆ พบระเบิดแสวงเครื่องชนิดไปป์บอมบ์อีก 1 ลูกตกอยู่ ผู้เสียชีวิตทั้งสองคนพักอยู่ในบ้านเช่า ซึ่งอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 100 เมตร ตำรวจจึงเข้าตรวจสอบ พบระเบิดไปป์บอมบ์ซุกซ่อนอยู่อีก 5 ลูก ถังแก๊สปิกนิก 6 ถัง แกลลอนน้ำมัน 1 ใบ และจักรยานยนต์ 2 คัน

“เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นช่วงการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. โดยสรุปเป็นไปป์บอมบ์ที่โลว์คลาสมาก แต่ไปป์บอมบ์ที่สาทรวันก่อนค่อนข้างไฮคลาสมากกว่า แม้ไม่ใช่
ทีเอ็นทีหรือซีโฟร์ แต่คล้ายๆ เป็นดินระเบิดการทำลายต่ำ ซึ่งโดยสรุป เชื่อว่าน่าจะเป็นการสวมรอยสร้างสถานการณ์มากกว่า และไม่เกี่ยวโยงกับระเบิดที่ราชประสงค์”

ถามย้ำว่า เหตุการณ์นี้อาจเชื่อมโยงกับประเด็นการเมืองในประเทศ อาทิ การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือความขัดแย้งภายในกองทัพ แต่ภุมรัตนเชื่อว่า คนไทยด้วยกันคงไม่อำมหิตขนาดนี้ แต่ถ้าเป็นกลุ่มที่ต่อต้านคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่เคลื่อนไหวอยู่ภายนอกประเทศ...ไม่แน่ใจ

“ถ้าจะอำมหิตกันได้ถึงขนาดนี้ก็ต้องเข้าหลักที่ว่า คือ ไม่ว่าซ้ายจัดหรือขวาจัด ถึงคราวให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางการเมือง พร้อมจะสังเวยชีวิต คือ เสียสละเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ หลักการเดียวกับกลุ่มไอเอส หรือแม้แต่การชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี 2553 จะเข้าในลักษณะนี้

“แต่เหตุการณ์ที่ศาลพระพรหม แยกราชประสงค์ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกี่ยวข้องกันหรือไม่ แต่ถ้าเป็นการเมืองภายใน และระดับฝีมือการวางระเบิดขั้นสูงแบบนี้ ถ้าเป็นทหารหรือตำรวจทำต้องได้รับการฝึกอบรมมาอย่างดียิ่ง และต้องเป็นมือดีของกองทัพเลยทีเดียว แต่ถ้าเป็นคนไทยด้วยกันไม่เชื่อว่าจะเหี้ยมโหดกันได้ถึงขนาดนี้

“แต่ที่ผ่านมาประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองส่วนใหญ่จะเป็นการวางระเบิดตามถังขยะเพียงเพื่อให้เกิดเสียงดัง ไม่ได้ ก่อให้เกิดความเสียหายถึงชีวิตและทรัพย์สิน เป็นเพียงการแสดงออกถึงความไม่พอใจสิ่งใดก็แล้วแต่ แต่เหตุการณ์ครั้งนี้มุ่งฆ่าคนตายมากๆ”

อีกแนวโน้มความเป็นไปได้ ภุมรัตนมองว่า อาจจะเป็นความขัดแย้งระหว่างประเทศ โดยต้องพิจารณาด้วยว่าใครได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์ กล่าวคือคนที่เสียประโยชน์ แน่นอนคือรัฐบาล ซึ่งเสียหายด้านภาพลักษณ์ที่ไม่อาจรักษาความสงบเรียบร้อยเอาไว้ได้ เป็นการมุ่งทำลายชื่อเสียงประเทศด้านการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ

...คำถามคือแล้วใครได้ประโยชน์ “ไม่ว่าคนใน หรือคนนอกประเทศ แน่นอนคนที่อยู่ตรงข้ามรัฐบาลย่อมต้องได้ประโยชน์จากเหตุการณ์ที่รัฐบาลต้องเสียภาพพจน์ แต่หากเป็นต่างประเทศใครจะได้ประโยชน์ เป็นต้นว่าสหรัฐ ซึ่งรับทราบกันดีว่าไทยสนิทสนมกับจีน ย่อมสร้างความไม่พอใจให้กับสหรัฐ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็ถือว่ามีเหตุมีผล เพราะสหรัฐไม่พอใจรัฐบาล คสช.ที่ใกล้ชิดกับจีน

“อาทิ การจัดซื้อเรือดำน้ำจากจีน หรือการเปิดประเทศให้จีนเข้ามาลงทุนสร้างรถไฟความเร็วปานกลาง หรือแม้แต่คนภายในประเทศบางกลุ่มพยายามไล่กลุ่มทุนบริษัทน้ำมันสัญชาติอเมริกาให้ออกไป เป็นต้น

“ถ้าถามว่า ณ วันนี้ ทำไมไทยใกล้ชิดกับจีน เพราะสหรัฐกดดันไทยมาก ทั้งตบและเตะประเทศไทยอยู่เรื่อยๆ เพื่อให้สยบยอม ซึ่งสหรัฐมีสิทธิที่จะโกรธ แต่ถ้าโกรธแล้วจะทำอะไรก็ได้ก็มีความเป็นไปได้ทั้งนั้น และนี่เป็นสมมติฐานอย่างหนึ่ง” ภุมรัตน กล่าว

ใน 2 ประเด็นหลัง ภุมรัตนยังไม่ขอฟันธงว่าจะเป็นการเมืองในประเทศหรือต่างประเทศ แต่ต้องสืบหากันต่อไป อย่างไรก็ตามหากเปรียบได้กับการวางระเบิดในอดีตราวปี 2537 เกือบเกิดเหตุระเบิดที่สถานทูตอิสราเอล เมื่อมีคนขับรถ 6 ล้อ บรรทุกระเบิดปุ๋ยยูเรีย รวมทั้งระเบิดซีโฟร์ขับมุ่งหน้าไปยังสถานทูตอิสราเอล

“ขบวนการนี้กบดานอยู่ในเมืองไทยนับปี รู้เส้นทางการใช้ชีวิต เช่น เช่ารถได้ที่ไหน ซื้อปุ๋ยยูเรียได้ที่ไหน เป็นต้น คนที่วางระเบิดก็ใช้ซีโฟร์ลักลอบเข้ามาจากมาเลเซีย วิธีการ คือ ค่อยๆ ทยอยลักลอบเข้ามาแอบบรรจุในกล่องเป็นแท่งช็อกโกแลต สะสมเข้ามากันเรื่อยๆ จนได้น้ำหนักพอสมควร จนกระทั่งมากพอที่จะทำระเบิด

“ดังนั้น การจะทำระเบิดโดยคนต่างชาติได้จะต้องลักลอบเอาระเบิดทีเอ็นทีหรือซีโฟร์เข้ามา แต่ถ้าเป็นคนในประเทศง่ายมาก คือต้องได้รับความร่วมมือจากฝ่ายทหาร และถ้าเป็นความร่วมมือกับคนที่อยู่นอกประเทศ ก็ต้องลักลอบนำเข้ามาด้วยเช่นกัน ทั้งทีเอ็นที หรือซีโฟร์

“เช่นเดียวกัน หากรัฐบาลต่างประเทศใดประเทศหนึ่งต้องการวางระเบิดก็สามารถจัดส่งมาทางสถานทูตได้เช่นกัน เพราะตอนนี้ไม่มีทางรู้เลยว่าจะเป็นวิธีการใดกันแน่”

อย่างไรก็ตาม ภุมรัตนขอรอเวลาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเดินหน้าทำงานไปสักระยะ เพราะเพิ่งผ่านไปไม่นาน ขณะนี้ยังไม่อาจให้น้ำหนักไปเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้ ทุกอย่างเป็นไปได้ทั้งความขัดแย้งการเมืองภายในประเทศ และความขัดแย้งการเมืองระหว่างประเทศ แต่ไม่มีทางเกี่ยวกับพวกสุดโต่งบ้าคลั่งที่ฉายเดี่ยววางระเบิด เพราะคนที่คิดอยากจะประกอบระเบิดเล่น โดยเรียนจากเว็บไซต์หรือยูทูบ ไม่ใช่จะมาวางระเบิดได้ การประกอบวัตถุระเบิดต้องใช้ความรู้ความชำนาญขั้นสูง...ไม่มีใครทำได้แน่นอน

...การวางระเบิดทำนองนี้มีวัตถุประสงค์ทางการเมืองทั้งสิ้น

นี่ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย...จะมีอีกแน่

ภุมรัตน กล่าวว่า เหตุระเบิดในครั้งนี้หวังการดิสเครดิตรัฐบาล ทำลายการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจที่เป็นตัวขับเคลื่อนอันสำคัญของประเทศ เพื่อให้รัฐบาลล้มไป ซึ่งคนที่วางระเบิดคราวนี้ได้ ต่อไปก็ต้องทำแบบนี้อีก ซึ่งต้องคอยติดตาม เพราะโดยหลักการในการก่อเหตุจะใช้วิธีการวางระเบิด เนื่องจากเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะ 1.จับตัวคนทำไม่ได้2.ระเบิดเสียงดังย่อมทำให้เกิดการกระพือข่าวได้รวดเร็วส่วนอำนาจการทำลายล้างที่รุนแรงย่อมขึ้นอยู่กับว่าคนวางระเบิดต้องการมากน้อยขนาดไหน

“ถึงอย่างไรระเบิดก็เป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดในการก่อเหตุร้ายให้เกิดความสูญเสีย หรือการดิสเครดิตทางการเมือง เพราะฉะนั้นคิดได้เลยว่านี่ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย จะมีอีกแน่นอน ส่วนจะขนาดไหนเมื่อไรไม่มีใครทราบ ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้แล้ว รัฐบาลต้องออกมาให้เร็วที่สุด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและต่างประเทศให้เร็วที่สุด โดยการชี้แจงสถานการณ์ที่เป็นจริงและสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ นั่นเป็นการที่เรียกว่าการสร้างความเชื่อมั่น

“ต่างชาติยังมีความเชื่อมั่นในรัฐบาลชุดนี้อยู่ สังเกตจากหลายประเทศยังออกมาแสดงความเชื่อมั่นว่าจะมาลงทุนและมาท่องเที่ยวต่อ มีความมั่นใจในรัฐบาลชุดนี้ เชื่อมั่นว่าจะดูแลปัญหาได้ และรัฐบาลได้ออกมาบอกว่าขอให้มั่นใจในรัฐบาลชุดนี้ว่าสามารถจัดการปัญหาเหล่านี้ได้ ถือเป็นการส่งสัญญาณไปต่างประเทศ เพราะการท่องเที่ยวอ่อนไหวมาก”

ภุมรัตนยังมั่นใจว่า เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ฝีมือกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะเหตุการณ์ระเบิดในพื้นที่ภาคใต้ยังไม่เคยรุนแรงมากขนาดนี้ และวิธีการในภาคใต้ส่วนใหญ่จะใช้โทรศัพท์มือถือ หรือนาฬิกาปลุก ฉะนั้นผู้เชี่ยวชาญจึงมั่นใจว่าไม่เกี่ยวโยงกับความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้

“คนไทยมีความสุขเพียงวันเดียวในวันที่ 16 ส.ค. 2558แต่วันที่เหลือหายไปทันที ซึ่งไม่แน่ใจว่าเป้าหมายหลักคืออะไร แต่มันส่งผลกระทบสูงมาก ผมอยากจะสรุปก็คือ ไม่ใช่ก่อการร้ายระหว่างประเทศ ไม่ใช่กลุ่มอุยกูร์ ถึงแม้คนที่ทำระเบิดครั้งนี้จะไปเอาคนต่างชาติมาทำ ไม่ใช่คนไทยทำก็ตาม

“ไม่มีอะไรที่เป็นครั้งสุดท้าย พอเกิดเหตุการณ์แบบนี้ทุกครั้งทั่วโลก จะโทษหน่วยข่าวกรองก่อน เพราะเป็นที่รองรับเหมือนระเบียบปฏิบัติ คือ ต้องมีหน่วยที่เป็นแพะคือ หน่วยข่าวนั่นเอง แต่ความจริงไม่มีหน่วยข่าวไหนในโลกถึงจะเป็นสหรัฐ รัสเซีย ที่รู้ทุกอย่างทั่วโลกก็ไม่อาจรู้ล่วงหน้า”