posttoday

"พนิต" เตือน ปชป.อย่าให้พังแล้วถึงตื่นหลังศึกผู้ว่าฯคะแนนวูบ ฝากคิดร่วมรัฐบาลเป็นคุณหรือโทษ

23 พฤษภาคม 2565

"พนิต" เตือน "อย่าให้พังแล้วถึงตื่น" จี้ ปชป.ถอดบทเรียน-รื้อทุกแผนหลังล้มเหลว คะแนน ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. หล่นวูบแค่ 2.5 แสน ขณะที่ส.ก.เหลือเพียง9 จาก 45 เก้าอี้ พร้อมฝากชวนคิดร่วมรัฐบาล 3 ปีเป็นคุณหรือโทษ

เมื่อวันที่ 23 พ.ค.65 นายพนิต วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) โพสต์ข้อความผ่านเพจส่วนตัว Panich Vikitsreth - พนิต วิกิตเศรษฐ์  เรื่อง "การเลือกตั้งครั้งนี้ คือ Wake up callยอมรับความจริง อย่าให้พังแล้วถึงตื่น" ว่าการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. และ ส.ก. เมื่อวันที่ 22 พ.ค. ที่ผ่านมา ถือว่าประชาชนตื่นตัวกันออกมาใช้สิทธิค่อนข้างมาก ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการที่เราว่างเว้นจากการเลือกตั้งกันมานานถึง 9 ปี ซึ่งต้องขอขอบคุณประชาชนทุกคนที่ออกมาใช้สิทธิ มาร่วมกันกำหนดอนาคตของ กรุงเทพฯ รวมถึงขอขอบคุณทุกคะแนนเสียงที่มอบให้กับพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.และผู้สมัคร ส.ก.ของพรรค รวมทั้งต้องขอบคุณ นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม และ ผู้สมัครส.ก. ของพรรคประชาธิปัตย์ที่ทำงานอย่างหนัก ภายใต้สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยเท่าใดหนัก

สำหรับผลการเลือกตั้งที่ออกมาในส่วนของ #พรรคประชาธิปัตย์ แม้เราจะได้ ส.ก.เข้ามาจำนวน 9 คน และต่างจากการเลือกตั้ง ส.ส.เมื่อปี 62 ที่ไม่ได้ ส.ส.แบบแบ่งเขต แม้แต่คนเดียว แต่ผมไม่คิดว่า เราประสบความสำเร็จแต่อย่างใด ตรงกันข้าม มันเป็นสัญญาณเตือนให้เราต้องรีบกลับมาทบ ทวนอะไรบางอย่าง

ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.ของพรรค แม้จะได้อันดับสอง และต่างจากอันดับสาม สี่ และห้า ไม่มากนัก แต่อย่าลืมว่า เราเป็นแชมป์เก่าที่การเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. 3 ครั้งหลังสุดก่อนหน้านี้ชนะมาโดยตลอด และไม่เคยได้คะแนนต่ำกว่า 5 แสน แต่ครั้งนี้ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.ของเรากลับได้อยู่ที่ราวๆ 2.5 แสนเท่านั้น เช่นเดียวกับ ส.ก. ที่ครั้งนี้เราเหลือเพียง 9 คน จากที่เคยได้มากถึง 45 คน

หรือหากเอาไปเทียบกับผลการเลือกตั้ง ส.ส.เมื่อปี 62 ที่ อดีตนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม้พรรคจะไม่ได้ ส.ส.ในกทม.เลย แต่ยังได้คะแนนรวมทั้งหมด 4.7 แสน มากกว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.ของพรรคได้รับในครั้งนี้

การเลือกตั้งครั้งนี้ ผมคิดว่า เรามีเวลาเตรียมตัวพอสมควร และพูดได้ว่านานกว่าผู้สมัครทุกคนและทุกพรรคการเมืองก็ว่าได้ ตั้งแต่หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตร พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าฯกทม. ตั้งแต่ 18 ต.ค. 59 แต่เราเหมือนพึ่งเริ่มเตรียมตัวไม่นาน ประกอบกับอีกหลายปัจจัยที่ทำให้ผลการเลือกตั้งออกมาแบบนี้ ซึ่งผมคิดว่า พรรคไม่ควรปล่อยผ่านมา โดยเฉพาะบทเรียนการนำ ‘คนนอก’ และ 'คนใหม่' มาเป็นตัวแทนของพรรค ที่เห็นแล้วว่า ไม่สามารถหลอมรวมคนในพรรคได้ ทำให้การประสานงานและความร่วมมือกันในแต่ละเขตไม่ดีเท่ากับ ‘คนใน’ ด้วยกันเองที่มีประสบการณ์ และความสามารถจำนวนมาก

ยังมีส่วนหนึ่งที่เราโชคไม่ดี ที่ระหว่างเลือกตั้งเจอข่าวด้านลบจนส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของพรรค แต่อย่าลืมว่า ก่อนหน้านี้ผู้บริหารของพรรคแสดงความมั่นใจมาตลอดว่า มีผลงานมากมายจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล และยังมั่นใจในแฟนคลับพันธุ์แท้ของพรรค แต่เหตุใดภาพรวมการเลือกตั้งครั้งนี้คะแนนที่ได้รับกลับหายไปมาก

นอกจากนี้ ยังพบว่าชาวกรุงฯไม่เอาฝ่ายรัฐบาล แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าที่จะเอาทักษิณ เพราะพวกเขาเชื่อมั่นในตัวว่าที่ ผู้ว่าฯกทม.คนใหม่ ที่อยากเห็นการเมืองแบบใหม่ก้าวข้ามความขัดแย้ง ขณะเดียวกัน ยังพบว่ากระแสพรรคพลังประชารัฐ ในกรุงเทพฯ ทั้งที่ มีส.ส.กทม. มากที่สุด จำนวน ส.ก. ยังหายไปอย่างมีนัยยะสำคัญอีกด้วย

ผมคิดว่า พรรคเอาควรนำผลการเลือกตั้งครั้งนี้มาทบทวนอย่างจริงจัง ว่าแนวทางที่เดินอยู่ทุกวันนี้มันช่วยกอบกู้พรรค หรือกำลังทำให้พรรคถอยหลังลงเรื่อยๆ แม้แต่การเป็นพรรคร่วมรัฐบาล มา3 ปีกว่าฝากชวนคิด และประเมินว่าเป็นคุณหรือเป็นโทษหรือไม่

ก่อนการเลือกตั้ง ส.ส.ที่จะเกิดขึ้นอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า หากเรายังยึดแนวทางเดิม โอกาสที่เราจะสูญพันธุ์ใน กทม.ซ้ำสอง ย่อมเกิดขึ้นได้อีกหรือไม่ ดังนั้น เราจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ด้วยการรื้อทุกแผน ปรับปรุงทุกอย่าง เพราะการเลือกตั้งในสนามกทม. ถือว่า 'wake -up call' หรือ 'อย่ารอให้พังก่อนตื่น'

"ยืนยันว่า ผมหวังดีและรักพรรคประชาธิปัตย์ อยากให้พรรคเป็นที่พึ่งพิงให้กับชาวกทม. และคนทั้งประเทศ ได้ จึงจำเป็นต้องพูดเรื่องนี้ เพราะไม่อยากรอให้พรรคเสียหายไปกว่านี้แล้วค่อยจึงลุกขึ้นมาทำอะไรกัน ในวันที่ยังมีเวลาจึงต้องเร่งทำอะไรบางอย่าง ก่อนที่มันจะสายเกินไป"นายพนิตกล่าว