เลือดเข้าตากัดดาฟี ขี่หลังเสือถอยไม่ได้
“ผมจะสู้จนเลือดหยดสุดท้าย”เสียงลั่นของประธานาธิบดี โมอัมมาร์ กัดดาฟี ที่ประกาศก้องเหนือแผ่นดินลิเบีย นัยหนึ่งแสดงให้เห็นถึงสัญญาณของความไม่ลดละ และพร้อมที่จะเดินหน้าห้ำหั่นประชาชนได้ต่อไป
“ผมจะสู้จนเลือดหยดสุดท้าย”เสียงลั่นของประธานาธิบดี โมอัมมาร์ กัดดาฟี ที่ประกาศก้องเหนือแผ่นดินลิเบีย นัยหนึ่งแสดงให้เห็นถึงสัญญาณของความไม่ลดละ และพร้อมที่จะเดินหน้าห้ำหั่นประชาชนได้ต่อไป
โดย...ทีมข่าวต่างประเทศ
“ผมจะสู้จนเลือดหยดสุดท้าย”เสียงลั่นของประธานาธิบดี โมอัมมาร์ กัดดาฟี ที่ประกาศก้องเหนือแผ่นดินลิเบีย นัยหนึ่งแสดงให้เห็นถึงสัญญาณของความไม่ลดละ และพร้อมที่จะเดินหน้าห้ำหั่นประชาชนได้ต่อไป
ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้นำที่เคยผ่านภาวะเข้าตาจนคล้ายๆ กันนี้ ก็มีพูดทำนองเดียวกันนี้มาแล้วนักต่อนัก แต่ผลลัพธ์อาจจะไม่เหมือนกันไปทั้งหมด เพราะจำพวกใส่เกียร์ถอยกรีธาทัพเอาตัวรอดออกนอกประเทศก็มีอยู่ถมไป...
ประธานาธิบดี โมอัมมาร์ กัดดาฟี ยอมหัก ไม่ยอมงอ และไม่ลดราให้กับประชาชน ส่วนหนึ่งเพราะตกอยู่ในภาวะขี่หลังเสือ ตกเป็นจำเลยคร่าชีวิตคนไปกว่า 250 คน รู้ดีว่ามีทางออกเพียง 2 ทางเท่านั้น คือ สู้จนเลือดหยดสุดท้ายเพื่อรักษาอำนาจบนหลังเสือนั้นไว้ หรือสละทุกสิ่งเพื่อหนีพ่ายความทะนงตนของตัวเอง
แต่กว่าจะก้าวไปถึงเวลานั้น หมายความว่า ต้องทิ้งขุมทรัพย์ที่ตัวเองก่อร่างสร้างมาจนสิ้น
กัดดาฟีสร้างโครงข่ายของอำนาจที่โยงใยธุรกิจไว้อย่างแข็งแกร่ง ทั้งจากการตั้งบริษัทเพื่อลงทุนในต่างประเทศ และการวางให้ลูกๆ คุมจุดต่างๆ ทั้งในเครือข่ายของกองทัพและภาคธุรกิจ ด้วยความที่ไม่คาดคิดว่าสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงในประเทศจะเดินทางมาถึงจุดที่กลายเป็นความรุนแรงในเวลานี้
สังเกตจากขบวนลูกในไส้ทั้ง 8 คน จากภรรยา 2 คน และลูกเลี้ยงอีก 2 คน ซึ่งทั้งหมดเป็นลูกชาย 8 คน มีเพียงลูกสาว 2 คน อีกทั้งลูกสาว 1 คน ก็เสียชีวิตแล้วจากเหตุระเบิดของสหรัฐในเดือน เม.ย. 2529 ล้วนเป็นการวางโครงข่ายจัดทัพอำนาจไว้แล้ว
ที่แกร่งมากและได้รับการจับตามองมากที่สุดคงเป็นลูกชายคนที่ 2 ซาอิฟ อัลอิสลาม กัดดาฟี หนุ่มนักเศรษฐศาสตร์ ที่มีดีกรีระดับปริญญาเอกจากลอนดอน และเป็นคนที่เชื่อว่าก่อนหน้านี้ได้รับการวางหมากให้เป็นผู้สืบทอดอำนาจต่อจากพ่อ
ส่วนลูกชายคนแรก ก็เป็นหน่วยกุมภาคธุรกิจ โดยทำหน้าที่บริหารบริษัท จีพีทีซี (General Post and Telecommunications Company) ซึ่งครองการให้บริการเครือข่ายสื่อสารทั่วประเทศ
ดังนั้น ไม่ต้องแปลกใจหรือตั้งคำถามให้อลหม่าน เมื่อในยามที่ประเทศตกอยู่ในภาวะคับขัน ลิเบียจะปิดตายการสื่อสารได้อย่างไม่ยากเย็น
ลูกชายคนที่ 4 คามิส กัดดาฟี คือ ตำรวจแกนนำที่ปะทะกับกลุ่มผู้ประท้วงในเมืองเบงกาซี เมืองสำคัญทางด้านตะวันออกของประเทศ ที่เป็นขุมทรัพย์บ่อน้ำมันของประเทศ ส่วนลูกชายคนที่ 5 ฮันนิบาล กัดดาฟี นั้นเคยทำงานในบริษัทน้ำมัน และยังก่อวีรกรรมทำร้ายร่างกายผู้อื่นในสวิตเซอร์แลนด์จนต้องคดี และเป็นต้นสายปลายเหตุให้นับตั้งแต่นั้นจวบจนเวลานี้ ลิเบียก็ยังสั่งห้ามการนำเข้าสินค้าจากสวิตเซอร์แลนด์ ลดเที่ยวบินการเข้าประเทศ และกร่างที่จะเรียกสวิตเซอร์แลนด์ ว่าเป็น “มาเฟียโลก” เป็นการตอบโต้แค้นในอดีต
ขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่า กัดดาฟีมีความฉลาดในด้านการลงทุนไม่น้อย กลไกของกัดดาฟีในการลงทุนต่างประเทศช่วยเสริมความสัมพันธ์ทางการทูตใต้โต๊ะ คือ การเดินหน้าผ่าน บริษัทที่ชื่อว่า ลาฟิโก (Lafico)
มีข้อมูลระบุว่า กัดดาฟีและครอบครัวมีบัญชีลับมูลค่าหลายพันล้านเหรียญสหรัฐ ซุกซ่อนอยู่ที่ธนาคารในดูไบ ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และในอ่าวเปอร์เซีย
ต่างจากภาวะปากท้องของประชาชนชาวลิเบียอยู่หลายขุม
ขณะนี้ประชาคมโลกเคลื่อนไหวเพื่อกดดันประธานาธิบดีกัดดาฟี ทั้งบางกระแสออกมาประณามการกระทำอย่างดุดัน
เปรู เป็นประเทศแรกที่ประกาศตัวอย่างชัดเจน ตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับลิเบียอย่างไม่เกรงกลัว และเรียกร้องให้ประเทศในละตินอเมริกากระทำการเช่นเดียวกัน
เช่นเดียวกับสหภาพยุโรป (อียู) ที่ประกาศเรียกประชุมด่วน หารือถึงมาตรการลงโทษลิเบีย โดยมีเยอรมนีและฟินแลนด์ที่เป็นกำลังสำคัญในการผลักดัน แต่ 27 เสียง ในอียูกลับมีความเห็นไม่สอดคล้อง
อิตาลี เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในอียูที่เลี่ยงการลงโทษ
ไม่ใช่เรื่องน่าแปลก เพราะเมื่อล้วงลึกลงไปถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองแล้ว เกินธรรมดา...
นอกจากความแนบชิดในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งห่างกันเพียงไม่กี่ร้อยกิโลเมตรแล้ว แน่นอนว่าสาเหตุหลักมาจากผลประโยชน์ที่ทั้งสองพร้อมอิ่มเอมร่วมกัน
นั่นจึงอาจเป็นส่วนหนึ่งที่โยงใยให้กัดดาฟียังคงไม่รู้สึกถึงภาวะโดดเดี่ยวนักจากการกระทำอันมิชอบ แถมยังอุ่นใจที่เชื่อว่าจะมีประเทศที่คอยหนุนหลัง
บริษัทสัญชาติอิตาลีหลายแห่งมีสัญญาธุรกิจด้านพลังงาน และระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานในลิเบียอย่างมหาศาล ก๊าซธรรมชาติราว 12% ที่ใช้ในอิตาลีนำเข้ามาจากลิเบีย
อีเอ็มไอ บริษัทน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลี ได้รับสัญญาขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติหลายจุดยาวนานกว่า 50 ปีเต็มมาแล้ว อีกทั้งสัญญาทั้งหมดที่ได้นั้นก็ล้วนแต่เป็นสัญญาระยะยาว (Takeorpay contracts) ซึ่งเมื่อเทียบกับบริษัทน้ำมันสัญชาติสหรัฐที่มีอยู่ราว 4 บริษัทในลิเบีย ก็ถือว่าสหรัฐยังห่างจากอิตาลีอยู่มาก
สำหรับอิตาลีและลิเบียแล้วถือว่าเป็นผลประโยชน์ร่วมกัน เพราะลิเบียก็สนใจที่จะซื้อหุ้นของอีเอ็มไอด้วย แต่ไม่มีการเปิดเผยจำนวนที่ชัดเจนออกมา
ซีอีโอของอีเอ็มไอคือ แขกคนพิเศษที่ครองอภิสิทธิ์แนบชิดกับซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี และโมอัมมาร์ กัดดาฟี ในระหว่างการเดินทางเยือนอิตาลี
อีกทั้งยังมี 2 บริษัทยักษ์ก่อสร้าง ชื่อว่า อิมพรีจิโล (Impregilo) และเอสทัลดี (Astaldi) ที่แบร์ลุสโคนีเป็นผู้ผลักดัน จนกระทั่งได้สัญญาโครงการยักษ์ก่อสร้างมอเตอร์เวย์ในลิเบีย
อย่างที่ว่า ทฤษฎีเงินต่อเงิน ผลประโยชน์ต่อยอดความสัมพันธ์
กัดดาฟีใช้บริษัท ลาฟิโกของตัวเองเป็นหมากซื้อหุ้นในสโมสรฟุตบอลของอิตาลีมูลค่ากว่า 21 ล้านเหรียญสหรัฐ
ยังไม่รวมถึงหุ้นของกัดดาฟีในกลุ่มของธนาคารอิตาลี ยูนิ เครดิต (UniCredit)
บุญคุณของลิเบียก็เคยโอบอุ้มเยียวยาค่ายผลิตรถยนต์ยักษ์ของอิตาลีมาครั้งหนึ่งเมื่อปี 2520 ด้วยการทุ่มซื้อหุ้นของ Fiat ไว้ราว 15% จนโดนวิจารณ์และปล่อยทิ้ง ก่อนที่ล่าสุดมีอัตราการถือครองหุ้นอยู่เพียง 2% หรือต่ำกว่านั้น
อำนาจอันที่สั่งสมยาวนานกว่า 40 ปี ได้พอกพูนขุมทรัพย์ทั้งในและนอกประเทศอย่างมหาศาล ซ้ำยังมีมิตร (อาจจะ) แท้ อย่างผู้นำอิตาลีเป็นกองหนุนเคยถือหางอยู่ห่างๆ ก็คงไม่น่าแปลกใจที่ผู้นำลิเบียจะระห่ำพอที่จะต้องแลก เพื่อรักษาทั้งอำนาจและกองทรัพย์นั้นไว้
เห็นที...น้ำมัน และสินค้าโภคภัณฑ์จะต้องคัดง้างกับวิกฤตนี้อีกเฮือกใหญ่