ยกเครื่อง ม.100 ป.ป.ช. ไล่สกัด ผลประโยชน์ทับซ้อน
“ผลประโยชน์ทับซ้อน” กลายเป็นรูปแบบการทุจริตชนิดใหม่ที่ทั่วโลกเริ่มหันมาจับตาและให้ความสำคัญกันมานานบางประเทศมีกฎหมายเรื่องนี้มากว่าร้อยปี แต่สำหรับประเทศที่เพิ่งตื่นตัวและออกมาเร่งทำความเข้าใจพร้อมสกัดไม่ให้ลุกลามบานปลายกว่าที่เป็นอยู่ ทำให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เร่งยกเครื่องกฎหมายในมือให้ตามทันกับรูปแบบการทุจริตที่ก้าวหน้าไปมาก
“ผลประโยชน์ทับซ้อน” กลายเป็นรูปแบบการทุจริตชนิดใหม่ที่ทั่วโลกเริ่มหันมาจับตาและให้ความสำคัญกันมานานบางประเทศมีกฎหมายเรื่องนี้มากว่าร้อยปี แต่สำหรับประเทศที่เพิ่งตื่นตัวและออกมาเร่งทำความเข้าใจพร้อมสกัดไม่ให้ลุกลามบานปลายกว่าที่เป็นอยู่ ทำให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เร่งยกเครื่องกฎหมายในมือให้ตามทันกับรูปแบบการทุจริตที่ก้าวหน้าไปมาก
โดย ธนพล บางยี่ขัน
ในการงานเสวนาในโครงการปรับปรุง แก้ไข กฎหมายที่เอื้อต่อการทุจริต เรื่อง “แนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามบทบัญญัติมาตรา 100 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2552” ที่ ร.ร.มิราเคิล แกรนด์ วันที่ 27 พ.ย. ศ.พิเศษ วิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช.อธิบายถึงข้อจำกัดในกฎหมายที่มีอยู่ว่า
จากการไต่สวนของ ป.ป.ช. ที่ผ่านมาพบว่า ในรัฐวิสาหกิจ มีปัญหาเรื่องการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลและผลประโยชน์ทับซ้อนมาก แต่ ป.ป.ช.ยังดำเนินการตามมาตรา 100 ไม่ได้ เพราะยังไม่มีประกาศตำแหน่ง “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” ที่ชัดเจน ทำให้หลายคดีจึงไม่สามารถดำเนินการในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนได้ และอีกด้านหนึ่งก็ไม่สามารถดำเนินคดีในข้อหาทุจริตได้
งานนี้จึงมอบหมายให้ นายปรีชา เลิศกมลมาศ กรรมการ ป.ป.ช. ไปศึกษารับฟังความเห็นว่า ตำแหน่งอะไรที่ควรเข้าข่าย ม.100 บ้างเพื่อกำหนดขอบเขตให้ชัดเจน
นอกจากนี้ จากการตรวจสอบยังพบว่า รูปแบบการหลีกเลี่ยงกฎหมายสมัยนี้ยังมีความก้าวหน้าไปมาก จำเป็นที่จะต้องผลักดันกฎหมายให้คลอบคลุมเและ เท่าทัน เช่น ปัจจุบันได้รับฟังมาจาก อบต. ว่า มีลักษณะการแลกงานสัมปทานระหว่าง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น อบต.ก.ไปรับงานของ อบต. ข. แล้ว อบต.ข.ก็มารับงานของ อบต. ก. ก็ยากจะเอาผิดเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน
นายวิชา กล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ซึ่งกำลังจะออกมาบังคับใข้ ได้เพิ่มมาตรา 103/1 ระบุว่าความผิดเรื่อง “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ให้เป็นความผิดฐานทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งทำให้หลายคนกลัวมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังนิยามของคำว่า “เจ้าหน้าที่รัฐ” ให้ครอบคลุมถึง กรรมการ อนุกรรมการ ลูกจ้างส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ซึ่งจะไม่ใช่ผู้สนับสนุนอีกต่อไป แต่หากทำผิดจะกลายเป็นตัวการโดยสมบูรณ์ และไม่ใช่บังคับแค่คนไทย แต่รวมถึงใครก็ตามที่เข้ามาทำธุรกิจในประเทศ หรือ กรรมการบริษัทในไทยที่เป็นคนต่างชาติต้องอยู่ในหลักเกณฑ์ รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน ที่จะต้องรับโทษทางอาญาเพ่ิมขึ้นจากเดิมที่ให้ออกจากตำแหน่งแค่นั้น
นายวิชา กล่าวว่า เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนจำเป็นที่จะต้องเร่งดำเนินการเพราะอีก 3-4 ปีเราจะเข้าสู่ประชาคมอาเซียนเปิดการค้าเสรี หากเราไม่มีกฎหมายที่เข้มแข็ง ก็จะไม่สามารถทานอำนาจเงินที่เข็มแข็งของประเทศใหญ่อย่าง สิงคโปร์ มาเลเซีย ได้เลย เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ที่จะต้องทำให้กระจ่างแจ้งต่อสาธารณะ และต้องปลูกฝังลงไปถึงเยาวชน ให้คุ้นเคยแยกแยะเรื่อง ผลประโยชน์ส่วนตน และ ผลประโยชน์ สาธารณะ
นายธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ อดีตรมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในประเทศประชาธิปไตยที่พัฒนาแล้ว เริ่มคิดแยกเรื่องประโยชน์ส่วนตัว ประโยชน์ส่วนรวม กันมาก่อนหน้านี้นานมากอย่างสหรัฐอเมริกา มีมาตั้งแต่ ปี 1800 กว่า แต่ประเทศไทยยังขาดองค์ความรู้ด้านนี้ ซึ่งหลักการเรื่องนี้ไม่ยาก เวลาสวมหมวก 2 ใบ คือมีประโยชน์ส่วนตัว ครอบครัว พวกพ้อง แต่เมื่อเรามาทำหน้าที่เจ้าหน้าที่ของรัฐ จะต้อง ไม่ให้ปะปนกัน ดังนั้นจึงมีความพยายามออกกฎหมายให้เป็นรูปธรรมเพื่อป้องกันตรงนี้ เช่นการแสดงบัญชีทรัพย์สิน หรือกรณีถือครองหุ้นก็ต้องเคลียร์ปัญหาก่อนเข้าสู่การรับตำแหน่ง
ทั้งนี้หากไม่แยกแยะเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนอาจนำไปสู่การสูญเสียมากในหลายด้าน 1. เสียอธิปไตยของชาติ เช่น สมมติผู้มีอำนาจในการตัดสินใจรัฐบาล มีผลประโยชน์ แล้วตัดสินใจ หรือ ไม่ตัดสินใจอย่างหนึ่งด้วยผลประโยชน์ทับซ้อน อาจถึงขั้นทำให้สูญเสียสิทธิ อธิปไตย 2. เสียประโยชน์ประชาชนส่วนใหญ่ เงิน งบประมาณส่วนใหญ่ ไปอยู่กับคนบางคนบางกลุ่ม 3. เสียโอกาสในการพัฒนาประเทศ งบประมาณที่สูญเสียไปไม่สามารถนำไปพัฒนาประเทศ จำนวนที่เสียไปมหาศาล 4. เสียโอกาสความเสมอภาคเท่าเทียม หากคนมีอำนาจ กำหนดระเบียบเอาเปรียบคนไมมีอำนาจ จะเกิดช่องความว่าง นำมาสู่ขัดแย้ง 5. เสียความยุติธรรม และ 6. สูญเสียเรื่องความถูกต้องชอบธรรมของชาติ ซึ่งเป็นพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตย
นายธีรภัทร์ กล่าวว่า ในส่วนนิยามของ “เจ้าหน้าที่รัฐ” ของมาตรา100 พ.ร.บ. ป.ป.ช. นอกจากผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ข้าราชการพนักงานส่วนท้องถ่ินที่มีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำผู้ปฏิบ้ติงานในรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานของรัฐ ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่น ในโอกาสนี้ควรที่จะพิจารณาไปถึงยังตำแหน่งอื่นที่มีโอกาสเกิดประโยชน์ทับซ้อนได้ง่าย เช่น ตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการ ปลัดกระทรวง อธิบดี ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งมีโอกาสที่จะเกิดปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนได้ และหากเกิด ผลที่ตามมาจะมีความรุนแรง จึงอยากให้พิจารณาเพ่ิมเติมไปพร้อมกันนี้หรือวางแผนเป็นขั้นเป็นตอนชัดเจนต่อไป
นายวิชัย วิวิตเสวี กรรมการ ป.ป.ช. กล่าวในการอภิปรายเรื่อง “กฎหมายและระเบียบในการรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นของเจ้าหน้าที่ของรัฐ” ว่า เรื่องการ “รับของ” ในสังคมนี้ยังมีลักษณะเป็น ”สองนครา” คือนักกฎหมายกับชาวบ้านเข้าใจเรื่องการรับของหรือประโยชน์ตาม พ.ร.บ.ป.ป.ช. มาตรา 103 แตกต่างกัน ในหมู่นักกฎหมายเข้าใจการรับและการให้ แต่ชาวบ้านเข้าใจอีกอย่างเพราะสังคมไทยเป็นสังคมอุปถัมป์ เป็นสังคมที่นิยมการให้ของขวัญ
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่รัฐจำเป็นต้องปรับสมดุลของตัวเองให้ดีในประเด็นนี้ นักกฎหมายจะมองลักษณะของการให้ของแบบต่างประเทศ ที่มองว่าการทำอะไรจะต้องมีการกำหนดบทบาทและเป้าหมายแน่นอน ตัวอย่างจากต่างประเทศ แค่มอบไก่งวงให้เจ้าหน้าที่ ในวันขอบคุณพระเจ้า ก็ถูกมองว่าขาดความชอบธรรมได้แล้ว ซึ่งในมาตรฐานของศาลไทยเรื่องนี้ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าชาติอื่น
นายวิชัย กล่าวว่า ในพ.ร.บ.ป.ป.ช. มาตรา 103 การรับของหรือผลประโยชน์อื่นได้ครอบคลุมไปถึงการให้ที่ไม่ใช่เพื่อตอบแทนการทำหน้าที่ หรือ การให้ซึ่งไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย ก็ถือเป็นความผิดหากเกิน 3,000 บาท และไม่ใช่ให้ตามปกติธรรมจรรยา เช่น มีคนชื่นชอบในการการตัดสินคดีของตนเอง แล้วให้เชอรี่ มา4,000 บาท แค่นี้ก็มีความผิดทันที
สังคมไทยจึงมีปัญหาตายน้ำตื่้นได้ง่ายต้องระวังมาตรา100 และ 103 ให้ดี อีกด้านหนึ่งจึงมีการตั้งคำถามว่า ระเบียบ ป.ป.ช. ที่กำหนดราคาขั้นต่ำของของขวัญที่รับได้ไม่เกิน 3,000 บาทนั้นน้อยเกินไปหรือไม่
นายวีระพงษ์ บุญโญภาส กล่าวว่า ตาม พ.ร.บ. ป.ป.ช. มาตรา103 ระบุห้ามไม่ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากบุคคล นอกเหนือจากทรัพย์สินหรือประโยชน์อันควร เว้นแต่การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยา ซึ่งที่ผ่านมายังไม่มีกฎหมายลูกอธิบายตีความธรรมจรรยาว่าครอบคลุมกรณีใดบ้างทำให้เป็นปัญหาในการบังคับใช้ ซึ่งน่าจะต้องทำให้เกิดความชัดเจน