posttoday

วิบากกรรมคนไทยดอกเบี้ยพุ่ง-สินค้าแพง

14 มกราคม 2554

“ของแพง” กลายเป็นเงาร้ายขย่มขวัญมนุษย์เงินเดือน ข้าราชการรายได้ต่ำ และคนรายได้น้อยหาเช้ากินค่ำมากขึ้นทุกวันต่อเนื่อง

“ของแพง” กลายเป็นเงาร้ายขย่มขวัญมนุษย์เงินเดือน ข้าราชการรายได้ต่ำ และคนรายได้น้อยหาเช้ากินค่ำมากขึ้นทุกวันต่อเนื่อง

โดย...ทีมข่าวการเงิน

“ของแพง” กลายเป็นเงาร้ายขย่มขวัญมนุษย์เงินเดือน ข้าราชการรายได้ต่ำ และคนรายได้น้อยหาเช้ากินค่ำมากขึ้นทุกวันต่อเนื่อง

 

วิบากกรรมคนไทยดอกเบี้ยพุ่ง-สินค้าแพง

แม้ว่ารัฐบาลจะออกประชาวิวัฒน์ของขวัญ 9 ชิ้น ดูแลสวัสดิการ ความเป็นอยู่ทำมาหากินของคนรากหญ้า ดูแลสินค้าอาหาร พลังงาน แต่ว่าสถานการณ์ความเป็นจริงกลับสวนทาง

ตั้งแต่วันที่ 9 ม.ค. 2554 ที่รัฐบาลแกะกล่องของขวัญชิ้นโบแดง แทนที่สินค้าต่างๆ จะพาเหรดขานรับขยับราคาลง เป็นน้ำรดหัวใจคนจนให้มีความหวัง แต่ก็ผิดคาด

ราคาไข่ไก่และเนื้อสัตว์ที่เป็นหนึ่งในของขวัญที่รัฐบาลมอบให้ปีใหม่ ต่างจ่อขยับราคาขึ้นสวนมาตรการประชาวิวัฒน์ เพราะที่ผ่านมาต้นทุนเพิ่ม และยังไม่ได้ปรับราคาขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีผู้ประกอบการออกมาสับแหลกนโยบายแก้ปัญหาราคา ด้วยการชั่งไข่ไก่ขายเป็นกิโล และเลิกการผูกขาดอาหารเลี้ยงสัตว์ เพื่อทำให้ราคาถูกลง ก็เป็นเรื่องที่เกาไม่ถูกที่คัน และสร้างความสับสนให้กับตลาดและผู้บริโภค

ยังไม่ทันข้ามคืน รัฐบาลก็ประกาศให้ผู้ผลิตราคาน้ำมันปาล์มขึ้นราคาพรวดเดียวขวดละ 9 บาท ทำให้ราคาน้ำมันขายปลีกจาก 38 บาทปลายๆ วิ่งไปแตะขวดละ 50 บาท ทำเอาคนหาเช้ากินค่ำสะอื้น เงิน 100 บาท ซื้อน้ำมันได้ไม่เต็ม 2 ขวด เพื่อประทังชีพ ยังไม่นับต้องซื้อข้าว ผัก ที่ราคาก็ไม่เคยลดลง

ขณะที่พ่อค้าแม่ค้าข้าวแกงต่างๆ ขยับราคาขึ้นเป็นทิวแถว จากจานละ 2530 บาท ทะลุไป 4050 บาท เพราะหมู เนื้อ ไข่ น้ำมัน ผักล้วนแพงขึ้น คนขายสุดอั้นทนเข้าเนื้อไม่ไหว ต้องผลักภาระให้ลูกค้ารายได้น้อยแบบไม่มีทางเลือก

ในรายที่ใจแข็งไม่ขึ้นราคา ก็ใช้วิธีลดปริมาณ เพื่อให้ขายได้แบบมีกำไรอยู่รอด ขณะที่คนกินก็ต้องทำใจ กินได้ไม่เต็มอิ่ม หากต้องการอิ่มเท่าเดิมก็ต้องยอมจ่ายเพิ่ม

ลำพังสถานการณ์อาหารที่กินเพื่อมีชีวิตอยู่ขั้นพื้นฐาน ไม่ได้กินหรูหราฟู่ฟ่า ก็ทำให้มนุษย์เงินเดือน คนรายได้น้อย เลือดตาแทบกระเด็นชักหน้าไม่ถึงหลังแล้ว เพราะรายจ่ายเพิ่ม แต่รายได้ไม่ขยับ แม้เงินเดือนเพิ่มก็ยังวิ่งไล่ไม่ทันเงินเฟ้อที่สูงกว่า 3% อยู่ดี

ขณะที่มองไปอนาคตยังมีเรื่องร้ายให้ผวาได้อีก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่ปรับสูงขึ้น หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) 0.25% ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายไปอยู่ที่ 2.25% ต่อปี

จะว่าไปแล้วดอกเบี้ยขยับขึ้น 0.25% ไม่กระเทือนคนรายได้สูง แถมยังมีแต่ได้ เพราะคนรวยชื่อก็บอกอยู่แล้วมีเงินไม่มีหนี้ ดอกเบี้ยขึ้นได้ดอกเงินฝากมากขึ้น ทำให้รวยขึ้นไปอีก

แต่สำหรับคนจนรายได้น้อย ต้องบอกว่าเงินเก็บไม่ต้องพูดถึง เงินเดือนแต่ละเดือนหมุนแทบไม่ชนเดือน

ส่วนเรื่องหนี้ยิ่งกว่ามีทั้งหนี้บัตรเครดิต หนี้บัตรเงินสด หนี้บ้าน หนี้รถ ซึ่งหากดอกเบี้ยสินเชื่อขยับขึ้นไป 0.25% เท่ากับโดนเข้าไปสามสี่เด้ง รวมๆ แล้วภาระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นหลายเปอร์เซ็นต์ ทำให้ภาระที่ต้องผ่อนต่อเดือนรวมทุกรายการวิ่งท่วมรายได้

อย่างที่บอกว่า ลำพังภาระค่าใช้ซื้อกินอยู่ที่สูงขึ้นก็ชักหน้าไม่ถึงหลังแล้ว และยังมีภาระหนี้บานขึ้นแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวอีก เห็นทีจะหมุนเงินไม่ทัน และในไม่ช้าต้องผิดชำระเป็นหนี้เสีย ต้องวิ่งหาเงินนอกระบบมาโปะแบบไม่มีทางเลือกในที่สุด

ยิ่งแนวโน้มดอกเบี้ยยังขยับไม่สุด หลายฝ่ายคาดการณ์กันว่าต้องขึ้นอีกอย่างน้อย 1% ก็เห็นทีคนจนและมนุษย์เงินเดือนจะต้องหมดอนาคต ไม่พอกิน แถมหนี้ท่วมหัวหาทางรอดไม่เจอ

นอกจากนี้ ราคาน้ำมันก็ยังพุ่งไม่หยุดผ่าน 90 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ทำให้ราคาขายปลีกภายในประเทศ โดยเฉพาะราคาดีเซล ทำท่าจะอั้นไม่อยู่ที่ 30 บาทต่อลิตร จะอุดก็คาดว่าได้อีกไม่นานต้องปล่อยมือ เพราะเงินหมดหน้าตัก ยิ่งมีการคาดว่าราคาน้ำมันตลาดโลกปีนี้วิ่งผ่าน 100150 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันบ้านเราต้องวิ่งไป 3540 บาทต่อลิตร ภายในปีนี้คงได้เห็นไม่ยาก

เมื่อไปถึงจุดนั้นก็จะกลายเป็นปัญหา“งูกินหาง” กันไม่หยุด น้ำมันแพง ดอกเบี้ยขึ้น ของราคาสินค้าพริก กะปิ น้ำปลา หมูเห็ดเป็ด ไก่แพงขึ้น และคนที่รับกรรมทนทุกข์ก็หนีไม่พ้นคนรายได้น้อย มนุษย์เงินเดือน ข้าราชการรายได้ต่ำ ซึ่งรัฐบาลไม่สามารถนำพาฝ่ามรสุมนี้ไปได้ ก็ไม่วายกระทบเศรษฐกิจมีปัญหา สังคมวุ่นวายรอบใหม่

ยังไม่รวมกับพ่อค้าผู้ประกอบการ ที่ฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าไม่เป็นธรรม กักตุนสินค้า ปั่นราคา ทำให้กรรมตกอยู่กับผู้บริโภคตาดำๆ

ขณะที่รัฐบาลได้แต่นั่งมองตาปริบๆ เพราะผลประโยชน์ทางการเมือง กับทางธุรกิจ แนบแน่นจนแยกกันไม่ออก หาความเป็นธรรมไม่เจอ

ถึงวันนี้ ไม่มีใครปฏิเสธแล้วว่า เงาร้ายวิกฤตของแพงแล้วแพงอีกไม่มีที่สิ้นสุด ก่อตัวเป็นวิกฤตรอบด้านกัดกินคนรายได้น้อยรวดเร็วแรงรุนแรงกว่าที่หลายฝ่ายประเมิน

หากรัฐบาลยังไม่ตื่นตัวหามาตรการรับมือให้เป็นวาระแห่งชาติ เห็นทีรากหญ้า คนรายได้น้อย จะล้มทั้งยืน จนนับศพไม่ถ้วน