posttoday

ถอดรหัสเกมเสื้อแดงยุให้รำ ตำให้รั่ว

24 ธันวาคม 2553

น่าสนใจไม่น้อยกับจังหวะก้าวทางการเมืองของ “จตุพร พรหมพันธุ์” สส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)

น่าสนใจไม่น้อยกับจังหวะก้าวทางการเมืองของ “จตุพร พรหมพันธุ์” สส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)

โดย...ทีมข่าวการเมือง

น่าสนใจไม่น้อยกับจังหวะก้าวทางการเมืองของ “จตุพร พรหมพันธุ์” สส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และกลุ่มคนเสื้อแดงในช่วงนี้ เพราะล้วนแต่ชวนให้สงสัยว่ากำลังทำอะไร และหวังประโยชน์อะไรจากสิ่งที่แกนนำเสื้อแดงคนนี้กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในเวลานี้

 

ถอดรหัสเกมเสื้อแดงยุให้รำ ตำให้รั่ว

จังหวะการเดินเกมที่สำคัญของจตุพรในระยะหลังนี้เริ่มเข้มข้น ตั้งแต่การออกมาเปิดเผยผลการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เกี่ยวกับปฏิบัติการสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ช่วงเดือน เม.ย. และ พ.ค. ที่ทั้งทหารและคนเสื้อแดงเสียชีวิต ข้อมูลที่ตู่นำออกมาเผยแพร่ต่อสาธารณะนั้นเรียกได้ว่าเป็นการชิงกระแสและสร้างโอกาสให้กับคนเสื้อแดงได้เป็นอย่างดี โดยจตุพรเองได้พยามเน้นใน 2 เหตุการณ์สำคัญ ดังนี้

1.การเสียชีวิตของประชาชน 6 คน ภายในวัดปทุมวนาราม เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553เวลา 18.30 น. สาเหตุการตาย ถูกยิงด้วยกระสุนปืนความเร็วสูง โดยเจ้าหน้าที่ทหารที่เข้าปฏิบัติการขอคืนพื้นที่ มีสองชุดคือ ร.31 พัน.2 รอ. เป็นหน่วยกำลังที่รับผิดชอบด้านล่างบนถนนพระราม 1 และกองพันรบพิเศษที่ 1 กรมรบพิเศษที่ 3 (ลพบุรี) มีทหาร 5 นาย รับว่าได้ใช้อาวุธปืนประจำกายยิงเข้าไปในวัดจริงตามคำสั่ง และพยานบุคคลหลายปากยืนยันว่ามีเสียงปืนดังลงมาจากสถานีรถไฟฟ้าสยาม ซึ่งเป็นที่ตั้งของหน่วยทหาร พล.1 รอ.

2.การตายของนายฮิโรยูมิ มูราโมโตะ ผู้สื่อข่าวญี่ปุ่น สำนักข่าวรอยเตอร์ส เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553 เวลา 21.00 น. ด้านหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ถนนดินสอ พยานสำคัญคือดาบตำรวจนอกเครื่องแบบที่อยู่ห่างออกไป 1 เมตร ไปช่วยประคองลำตัวนายฮิโรยูมิ โดยยืนยันวิถีกระสุนว่าไม่ได้โดนยิงจากฝั่งผู้ชุมนุม และพยานอีกคนระบุว่ามีเสียงไฟจากกระบอกปืนทหาร โดยสอดรับกับหลักฐานของนายฮิโรยูมิคือวิดีโอคลิปจากกล้องของนายฮิโรยูมิ และพื้นที่นี้กองร้อยบินกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล. ร.2 รอ.) นำโดย พ.อ.ธรรมนูญ วิถี รับคำสั่งจากผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 ให้ร่วมปฏิบัติการสลายการชุมนุม

อย่างไรก็ตาม เพียงแค่สองเหตุการณ์นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้รัฐบาลอยู่ในอาการ “เต้น” ค่อนข้างมาก เป็นการทำให้ภาพฮีโร่ของรัฐบาลในการสลายยุติการชุมนุมและนำความสงบมาคืนสู่สังคมต้องถูกสั่นคลอน

เพราะที่ผ่านมารัฐบาลมักจะบอกตลอดเวลาว่า สถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นมาจากมือที่สามและชายชุดดำเป็นผู้สร้างสถานการณ์ ไม่ใช่รัฐบาล เมื่อรัฐบาลถูกท้าทายด้วยข้อมูลใหม่ที่มาจากปากคำของพยานบุคคลย่อมส่งผลเสียต่อรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ที่สำคัญรัฐบาลยังต้องมีภาระกดดันมากขึ้น โดยเฉพาะในกรณีของผู้สื่อข่าวชาวญี่ปุ่น เพราะทางการญี่ปุ่นได้แสดงท่าทีต่อรัฐบาลไทยหลายครั้งว่าให้เร่งคลี่คลายกรณีการเสียชีวิตของพลเมืองตัวเอง ซึ่งจนถึงวันนี้รัฐบาลเองก็ยังไม่สามารถให้คำตอบที่สร้างความพอใจให้กับทางการญี่ปุ่นมากเท่าไหร่

เป็นสัญญาณเตือนมายังรัฐบาลว่ายังมี “ทหารแตงโม–ตำรวจมะเขือเทศ” แฝงตัวอยู่ในองค์กรรัฐบาลที่พร้อมจะเป็นกลไกบั่นทอนความชอบธรรมของรัฐบาลให้สังคมได้เห็น ซึ่งรัฐบาลต้องเร่งแก้ไขปัญหาไม่ให้กลายเป็นเนื้อร้ายมาทำลายรัฐบาลเอง

เป้าหมายสำคัญในส่วนนี้ คือ ต้องการใช้เป็นต้นทุนของคนเสื้อแดงสำหรับการฟ้องร้องคดีในศาลอาญาระหว่างประเทศที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อเพิ่มน้ำหนักการต่อสู้ร่วมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตามแผนโลกล้อมไทย โดยพุ่งเป้าไปที่การทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลไทย ในสายตานานาชาติ ซึ่งมีการประมาณการว่ากระบวนการเหล่านี้จะเริ่มได้หลังปีใหม่

ไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้ว่าการเดินหน้าสร้างความชอบธรรมให้กับคนเสื้อแดงผ่านกระบวนการเหล่านี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ รัฐบาลต้องอยู่ในสภาพปวดหัวพอสมควร ประจวบเหมาะกับการเพิ่งยกเลิก พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ซึ่งเป็นกุญแจเปิดประตูให้มวลชนกลับมาเคลื่อนไหวได้สะดวกมากขึ้น

แน่นอนว่ากลุ่มคนเสื้อแดงย่อมนำหมากกระดานนี้ที่จตุพรได้เดินเอาไว้มาขยายผลเพื่อสร้างกระแสในการเคลื่อนไหว โดยพุ่งเป้าไปที่รัฐบาลในการแสวงหาคนผิดมาลงโทษ หลังจากมีการเปิดหลักฐานซึ่งเป็นคำให้การของบุคคลว่าเจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้มือลงมือใช้กำลังจนทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก

ขณะที่กองทัพเองภายใต้การกุมบังเหียนของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ที่พยายามจะอยู่ในภาวะใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหวมาตลอด ก็เริ่มออกอาการตบะแตกให้เห็นได้ชัด จากกรณีเมื่อถูกสื่อมวลชนซักถามเรื่องงบประมาณที่ทหารใช้ไประหว่างการปฏิบัติหน้าที่ในนามศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)

ไม่เพียงเท่านี้ กลุ่มเสื้อแดงได้ใช้จังหวะนี้ขยายแผลกองทัพบกด้วยการสร้างรอยร้าวให้เกิดขึ้นระหว่างกองทัพและรัฐบาล ด้วยการเตรียมไปยื่นสำเนาเอกสารคำสั่งของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่สั่งให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สอบสวนกรณีที่ทหารยิงประชาชน 6 คน ที่วัดปทุมวนาราม ระหว่างเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อเดือน พ.ค. เพื่อให้ พล.อ.ประยุทธ์ รับทราบ

หมากเกมนี้ถือว่าน่าสนใจมาก เพราะเป็นการแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลเองกำลังไล่บี้กับกองทัพ ทั้งๆ ที่เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้รัฐบาลอยู่ในอำนาจต่อไปได้จนถึงทุกวันนี้ ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลในสายตาของกองทัพจะมองรัฐบาลด้วยความหวาดระแวงมากขึ้น ผลที่ตามมาคือการให้ความร่วมมือในการทำงานในอนาคตโดยเฉพาะการควบคุมการชุมนุม

ไม่ต่างอะไรกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่ปล่อยให้สำนวนการสอบสวนหลุดออกสู่สายตาสาธารณะได้ ย่อมส่งผลให้รัฐบาลมองดีเอสไอด้วยความไม่ไว้วางใจมากขึ้น เช่นเดียวกับกองทัพที่มองรัฐบาล

เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลและกองทัพและดีเอสไอถูกสั่นคลอนมากเท่าไหร่ นั่นหมายความว่าการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงตามภูมิภาคทำได้ง่ายมากขึ้น หลังจากต้องถูกกดดันมาตลอดในช่วงระยะหลังนี้ นอกจากนี้ยังเป็นการเพิ่มต้นทุนของแกนนำ นปช.ในระยะยาวที่อยู่ในระหว่างการเปลี่ยนผ่านตอนนี้

ดังนั้น การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงบนกระดานการเมืองในช่วงนี้จึงเต็มไปด้วยการสร้างความร้าวฉานให้เกิดกับกลไกของรัฐบาล

เป็นการเอื้ออำนวยให้กับคนเสื้อแดงมากขึ้น เพื่อบรรลุผลทางการเมืองในอนาคต แต่จะสำเร็จหรือไม่คงต้องออกแรงกันเยอะหน่อย