posttoday

วัดใจ 'ทักษิณ' เหยียบอเมริกา หรือจะลับลวงพลาด

09 ธันวาคม 2553

เป็นข่าวที่สร้างความสนใจได้ไม่น้อยสำหรับการออกมาเปิดเผยของ นายนพดล ปัทมะที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า คณะกรรมาธิการด้านความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (ซีเอสซีอี) ของประเทศสหรัฐอเมริกา เชิญ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้มาชี้แจงกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศ ซึ่งรวมไปถึงเหตุการณ์กระชับพื้นที่คนเสื้อแดงของรัฐบาลเมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา

เป็นข่าวที่สร้างความสนใจได้ไม่น้อยสำหรับการออกมาเปิดเผยของ นายนพดล ปัทมะที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า คณะกรรมาธิการด้านความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (ซีเอสซีอี) ของประเทศสหรัฐอเมริกา เชิญ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้มาชี้แจงกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศ ซึ่งรวมไปถึงเหตุการณ์กระชับพื้นที่คนเสื้อแดงของรัฐบาลเมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา

โดย...ทีมข่าวการเมือง

 

วัดใจ 'ทักษิณ' เหยียบอเมริกา หรือจะลับลวงพลาด

เป็นข่าวที่สร้างความสนใจได้ไม่น้อยสำหรับการออกมาเปิดเผยของ นายนพดล ปัทมะที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า คณะกรรมาธิการด้านความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (ซีเอสซีอี) ของประเทศสหรัฐอเมริกา เชิญ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้มาชี้แจงกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศ ซึ่งรวมไปถึงเหตุการณ์กระชับพื้นที่คนเสื้อแดงของรัฐบาลเมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา

ความน่าสนใจอยู่ที่จังหวะของความเคลื่อนไหวครั้งนี้ เพราะต้องยอมรับว่าระยะหลังมานี้ พ.ต.ท.ทักษิณ เก็บตัวเงียบพอสมควร แม้แต่พรรคประชาธิปัตย์รอดจากคดียุบพรรค ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนจะเห็น พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาถล่มกระบวนการยุติธรรมของไทยตามถนัด แต่นี่กลับไม่แสดงความเห็น จึงไม่แปลกใจเมื่อนพดลที่ปรึกษาส่วนตัวออกมาเปิดประเด็นเรื่องนี้ย่อมเป็นข่าวใหญ่พอสมควร ที่สำคัญสร้างผลกระเทือนไปยังรัฐบาลด้วย เพราะประเทศสหรัฐ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางไปนั้นมีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับประเทศไทยอยู่ ซึ่งผลงานในครั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากพลังล็อบบี้ยิสต์ของโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความต่างชาติส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ

คำถามสำคัญ คือ พ.ต.ท.ทักษิณ จะใจถึงพอที่จะเดินทางเข้าสหรัฐอเมริกาหรือไม่

เพราะทั้งสองประเทศมีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกันอยู่ ดูท่าทีของทางการไทยก็เอาจริงเอาจังไม่น้อย เมื่อตำรวจที่ถือว่าเป็นต้นทางแรกของการเริ่มกระบวนการส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้ขยับเดินหน้าเรื่องนี้ โดยเฉพาะ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. ได้ออกคำสั่งให้กองการต่างประเทศสอบถามไปยังกระทรวงการต่างประเทศ ขอรับคำยืนยันว่า มีข้อมูลยืนยันว่า พล.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางเข้าไปในประเทศสหรัฐอเมริกาจริงหรือไม่ โดยเมื่อได้รายละเอียดก็จะส่งให้อัยการสูงสุดดำเนินการต่อไป

เช่นเดียวกับกระทรวงการต่างประเทศ โดยนายกษิต ภิรมย์ เจ้ากระทรวงได้รับมอบหมายจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้เตรียมข้อมูลชี้แจงต่อซีเอสซีอีเช่นกัน พร้อมกับประสานงานกับตำรวจสากลตลอดเวลาเพื่อหาความเคลื่อนไหวและแหล่งพักพิงของ พ.ต.ท.ทักษิณ เท่ากับว่าหากปรากฏเงา พ.ต.ท.ทักษิณ ในประเทศสหรัฐเมื่อไหร่ทางการไทยก็พร้อมจะส่งเรื่องขอให้ทางการสหรัฐคุมตัว พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อดำเนินกระบวนการส่งผู้ร้ายข้ามแดนทันที

“ที่ผ่านมาเราได้ส่งข้อมูลของ พ.ต.ท.ทักษิน ไปยังสถานทูตต่างๆ อย่างต่อเนื่อง และโดยไม่จำเป็นต้องดำเนินการใดๆ เป็นพิเศษ เนื่องจากไทยมีสนธิสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนที่ได้ทำร่วมกันอยู่แล้ว ซึ่งหาก พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางเข้าไปทางสหรัฐอเมริกา เชื่อว่าคงมีการส่งตัวกลับมายังประเทศไทยทันที” ท่าทีอย่างเป็นทางการจาก รมว.ต่างประเทศ

การตื่นตัวของทางการไทยกับความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในครั้งนี้ ทำให้ความมั่นใจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าจะสามารถเดินทางเข้าประเทศมหาอำนาจได้อย่างสง่างาม เริ่มมีความกังวลออกมาอย่างเห็นได้ชัด ผิดกับก่อนหน้านี้ที่นพดลยืนยันแบบหัวชนฝายังไงก็จะเดินทางไปตามคำเชิญอย่างแน่นอน สะท้อนได้จากท่าทีล่าสุดของนพดล

“ยอมรับว่าขณะนี้ยังไม่สามารถยืนยัน 100% ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางไป ในขั้นตอนแรกต้องรอให้ได้วีซ่าก่อน จากนั้นจึงจะดูเรื่องความปลอดภัย ทั้งทางร่างกาย และกฎหมาย ต้องประเมินความปลอดภัยเป็นระยะ จนวินาทีสุดท้าย และถ้าหากไม่สามารถเข้าสหรัฐอเมริกาจริงๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเดินทางไปประเทศอื่นไม่ได้”

นอกจากนี้ กรณีการส่งตัวนายวิกเตอร์ บูตผู้ต้องหาค้าอาวุธสงครามชาวรัสเซียไปให้ทางการสหรัฐก่อนหน้านี้ เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ฝั่ง พ.ต.ท.ทักษิณ เกรงว่าจะเป็นการยื่นหมูยื่นแมว หรือเป็นมาตรฐานที่ทางการสหรัฐต้องปฏิบัติกับไทยเช่นเดียวกับที่ทางการไทยเคยปฏิบัติให้กับสหรัฐ จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ท่าทีของนพดลดูเริ่มอ่อนลง

ขณะเดียวกัน ใช่ว่าถ้าในวันที่ 16 ธ.ค.พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เข้าสหรัฐจริง ก็ไม่ได้หมายความว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะได้ประโยชน์แต่เพียงฝ่ายเดียว เพราะจะแน่ใจได้อย่างไรว่าบนเวทีการประชุมซีเอสซีอี พ.ต.ท.ทักษิณ จะควบคุมประเด็นในการซักถามได้

ถ้ามีกรรมาธิการคนใดข้องใจเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทยที่เกิดจากนโยบายรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ สมัยดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศ เช่น สงครามฆ่าตัดตอนยาเสพติด 2,500 ศพ เหตุการณ์ความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือกรณีตากใบที่คนมุสลิมตายเกือบร้อย หาก พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่สามารถชี้แจงประเด็นเหล่านี้ได้ ย่อมทำให้เจ้าตัวเสียหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ทั้งหมดเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เริ่มไม่มั่นใจว่า ควรจะไปปรากฏตัวต่อที่ประชุมซีเอสซีอีหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ในมุมมองจากทางภาควิชาการแล้ว ยังมีความเห็นออกเป็นสองทางอยู่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ น่าจะเข้าและไม่เข้าสหรัฐ โดยนายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ นักวิชาการฝั่งเสื้อแดงจากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางไปตามคำเชิญของซีเอสซีอี เพราะเป็นโอกาสดีที่จะได้เปิดเผยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ทั้งหมด

“ในทางการเมืองระหว่างประเทศเป็นเรื่องเสียหายอย่างมากถ้าสหรัฐจับ พ.ต.ท.ทักษิณ และส่งตัวให้ไทยในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน เพราะการเดินทางในครั้งนี้มาจากการเชิญของทางซีเอสซีอี ไม่ใช่อยู่ดีๆ พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางเข้าไปเอง จึงคิดว่าไม่เข้าเงื่อนไขส่งผู้ร้ายข้ามแดน”

ขณะที่แกนนำเสื้อแดงอย่าง นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ อาจถูกสหรัฐและรัฐบาลไทยสมคบคิด จนนำมาสู่การส่งตัวในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนให้ไทย

เช่นเดียวกับนายสุรชัย ศิริไกร นักวิชาการที่มีจุดยืนต้านระบอบทักษิณ จากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มั่นใจว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะไม่เดินทางไปสหรัฐตามคำเชิญดังกล่าว เพราะติดเรื่องที่ไทยกับสหรัฐมีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน เว้นเสียแต่ว่าทีมงานของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะได้รับหลักประกันที่แน่นอนว่า ถ้าเข้าสหรัฐแล้วจะไม่ถูกส่งตัวให้กับทางการไทย

“ทางเลือกที่ดีที่สุดของ พ.ต.ท.ทักษิณ คงใช้การให้สัมภาษณ์ผ่านช่องทางอื่นๆ ซึ่งเป็นการลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ดีที่สุด ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้รับหลักประกันดังกล่าว ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องเร่งทำความเข้าใจ โดยไม่ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ สื่อสารทางเดียว” นายสุรชัย กล่าว

ถึงที่สุดแล้วไม่ว่าปัจจัยแวดล้อมจะเป็นอย่างไร และอดีตนายกฯ ของไทยรายนี้ จะเดินทางเข้าสหรัฐหรือไม่ ขึ้นอยู่กับ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่เพียงผู้เดียว

จะตัดสินใจอย่างไรต้องได้บวกเท่านั้น