จอมโปรเจค "ปชป." NEVER DIE…
“อลงกรณ์ พลบุตร” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กำลังทุ่มสุดตัวกับโครงการยักษ์ ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นกระแสสวนทางขณะที่ปัญหาชายแดนไทย – พม่า ที่ยังอึมครึม
“อลงกรณ์ พลบุตร” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กำลังทุ่มสุดตัวกับโครงการยักษ์ ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นกระแสสวนทางขณะที่ปัญหาชายแดนไทย – พม่า ที่ยังอึมครึม
โดย....ทีมข่าวการเมือง
ในขณะที่สถานการณ์ทางการเมืองวนเวียนกับการปลุกระดมป่วนเมืองอย่างไม่เลิกรา งัดคลิปโน้นคลิปนี้มาดิสเครดิตอย่างสนุกสนาน สภาพความเลอะเทอะเกินเหตุถูกถ่ายทอดผ่านคณะสื่อมวลชนที่ไม่ได้กลั่นกรอง เพราะมันง่ายต่อการนำเสนอกว่าเรื่องราวอื่น เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำให้หลายคนลืมมองความเป็นไปบางอย่างที่น่าจะเป็นสาระสำคัญของประเทศ
หนึ่งในนั้นมีความเคลื่อนไหวของรมต.ในรัฐบาลอภิสิทธิ์ เดินหน้าขับเคลื่อนโครงการสำคัญอย่างเงียบๆ และกำลังจะเป็นที่จับตามองในไม่ช้า
จากเจ้าของไอเดียผลิตแอลกอฮอล์จากมันสำปะหลังและพืชอื่นๆหรือรู้จักกันดีในโครงการเอทานอลที่ยังอานิสงค์ให้ประชาชนมีก๊าซเอทานอลใช้ เท่านั้นไม่พอโด่งดังในช่วงเป็นฝ่ายค้านตรวจสอบฝ่ายรัฐบาลจนได้รับฉายาดาวเด่นสภาประจำปี 2546 และมาเป็นรัฐมนตรีลุยดะกับนโยบายปราบเทปผีซีดีเถื่อน จนสื่อต่างประเทศต้องขึ้นทำเนียบ รมต.ไทยตัวอย่างกับการเอาจริงเอาจังจัดการสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์
มาวันนี้จอมโปรเจค “อลงกรณ์ พลบุตร” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กำลังทุ่มสุดตัวกับโครงการยักษ์ ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นกระแสสวนทางขณะที่ปัญหาชายแดนไทย – พม่า ที่ยังอึมครึม ด้วยการขับเคลื่อนโครงการ 3 วงแหวน 5 ประตู โดยให้ไทยเป็นศูนย์กลางโลว์จิสติกส์ในอาเซียน แวดล้อมด้วยประเทศคู่ค้า 3 วงแหวนวงแหวนที่ 1 คือกลุ่มอาเซียน วงแหวนที่ 2 อาเซียน+3 คือ จีน เกาหลี และญี่ปุ่น และวงแหวนที่ 3 อาเซียน+6 เพิ่ม อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ รวมแล้วกว่า 3,000 ล้านคน ก็จะกลายเป็นตลาดที่มีผู้บริโภคมหาศาล ส่วนนโยบาย 5 ประตูนั้น จะว่าด้วยการสร้างเส้นทางทางการค้าใหม่ New Trade Lane และ New trade Gateway เพื่อเชื่อมไทยเชื่อมโลกผ่านประเทศที่มีพรมแดนติดกัน 5 ทิศทาง คือ ประตูสู่ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคตะวันออก ภาคใต้ และภาคตะวันตก เชื่อมโยงการค้า 4 ประเทศ ได้แก่ พม่า ลาว กัมพูชา และมาเลเซีย
ที่น่าจับตาอย่างยิ่งคือโครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย-แหลมฉบัง โดยการสร้างเส้นทางการค้าแห่งใหม่ของโลกตะวันตกและตะวันออก ผลดีคือจะลดเวลาในการขนส่งลง 3-4 วัน ซึ่งแต่เดิมต้องการเดินทางจากยุโรปมาเอเชียจะต้องอ้อมทางช่องแคบมะละกาใช้เวลายาวนาน แต่หากมีท่าเรือแหลมฉบัง – ทวาย ก็จะสามารถตัดผ่านได้โดยสะดวก นอกจากนี้ยังได้ดำเนินการสร้างเส้นทางไฮเวย์จากท่าเรือแหลมฉบังมายังกาญจนบุรีระยะทางกว่า 160 กิโลเมตรเพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่งอีกด้วยโดยโครงการดังกล่าวจะเริ่มดำนินงานในต้นปีหน้าโดยบริษัทคนไทย และสิ่งที่จะเกิดตามมาคือนิคมอุตสาหกรรมที่มีแผนการก่อสร้างกว่า 2แสนไร่ ซึ่งคาดว่าจะสามารถระดมการลงทุนจากจีน ญี่ปุ่น และอีหลายประเทศ โดยขณะนี้กำลังมีการติดต่อเจรจากันอยู่ คาดว่าจะมีมูลค่าการลงทุนกว่า2พันล้านล้านบาทต่อปี
นอกจากการเป็นประตูการค้าใหม่กับพม่าแล้วทางรัฐบาลยังมีแผนการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษกับพม่าทางภาคตะวันตก เช่น เขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด กาญจนบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ระนอง เป็นต้น ซึ่งจะเป็นผลดีกับไทยในการกระจายการลงทุนการจ้างงานไปยังภูมิภาค ไม่ต้องกระจุกตัวอยู่แต่ในกรุงเทพ เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในตลาดการค้า ด้วยค่าแรงและต้นทุนที่ลดลง
“...เรากำลังจะกุมเส้นทางการค้าโลก ประเทศไทยจะเป็นประตูการค้าใหม่ของโลก”อลงกรณ์ กล่าวอย่างมั่นใจ
อลงกรณ์ ยังบอกว่า ช่วงโค้งสุดท้ายของรัฐบาลหลังจากที่นายกอภิสิทธิ์ฯ ออกมาพูดเป็นนัยว่าอาจมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในช่วงต้นปี 2554 กระทรวงพาณิชย์จะมีของขวัญให้กับพี่น้องชาวไทยโดยภายหลังคณะรัฐมนตรีมีมติให้มีการปฏิรูปการบริการภาครัฐ ในฐานะที่กำกับดูแลกรมธุรกิจการค้า จึงได้เริ่มดำเนินการทันทีโดยผลักดันให้เกิดโครงการSingle point service หรือบริการจดทะเบียนธุรกิจ ณ จุดเดียว
แต่เดิมนั้นการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทกับสำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าจะได้เลขทะเบียนนิติบุคคลจากนั้นจะต้องเดินทางไปที่หน่วยงานของกรมสรรพากรกระทรวงการคลังเพื่อขอเลขภาษี แล้วตามด้วยการขึ้นทะเบียนนายจ้างกับสำนักงานประกันสังคม รวมแล้วต้องใช้เวลานานถึง 4 วันกว่าจะเสร็จสิ้นกระบวนการจดทะเบียนธุรกิจ
โดยโครงการSingle point service จะสามารถรวบกระบวนการดังกล่าวทั้ง 3 ขั้นตอนให้เหลือเพียง 1 ขั้นตอน และใช้ชุดเอกสารรับรองรวมถึงเอกสารคำขอเพียงชุดเดียว หลังยื่นจะได้รับหมายเลขการจดทะเบียนครบทั้ง 3 หมายเลขโดยใช้เวลาเพียง 90 นาที
ขณะที่ล่าสุดธนาคารโลกได้จัดให้ประเทศไทยเป็นอันดับที่ 12 ของประเทศที่ง่ายและสะดวกในการทำธุรกิจ ซึ่งจะมีการจัดอันดับในทุกๆปี เป้าหมายคือการเป็น 1 ใน 10 อันดับของโลกให้ได้ในปีหน้า
“ปีหน้าผมประกาศให้เป็นปีบริการสร้างสรรค์ หรือ Creative service โดยตั้งเป้าจะทำให้เลขทะเบียนธุรกิจทั้ง 3 หมายเลขเหลือเพียงเลขเดียว เหมือนหมายเลขประจำตัวบุคคลที่เกิดมาแล้วมีเพียงหมายเลขเดียว นิติบุคคลก็ก็เช่นกันเมื่อจดทะเบียนเพียงครั้งเดียวก็ควรมีหมายเลขเดียวใช้ติดต่อได้ทุกหน่วยงาน”
อีกโครงการที่กำลังดำเนินการอยู่ขณะนี้และคาดจะประสบผลสำเร็จในปีหน้าคือการเพิ่มช่องทางบริการเอกสารรับรองธุรกิจจากเดิม 70 สาขาทั่วประเทศไทย เพิ่มเป็น 1พันสาขาโดยให้ธนาคารพาณิชย์สามารถออกหนังสือรับรองได้มีค่าเทียบเท่ากับที่หน่วยงานราชการออกให้ เนื่องจากพบว่ากว่า 2 ล้านบริการจากสำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าทั่วประเทศ เป็นบริการออกหนังสือรับรองธุรกิจ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกในการขอเอกสารรับรองธุรกิจสำหรับช้ในธุรกรรมต่างๆให้เกิดความคล่องตัวมากขึ้น
“ตลอด 3 เดือนที่ขับเคลื่อนโครงการเหล่านี้มาผมไม่ได้ใช้งบประมาณแม้แต่บาทเดียว ผมต้องการจะแสดงให้เห็นว่า ไม่ใช้งบก็ทำงานได้เพื่อเป็นแบบอย่างให้กระทรวงอื่นต่อไป”
*******************
ปชป.NEVER DIE
แม้ว่าอลงกรณ์ จะอยู่ในฐานะรมช.พาณิชย์ แต่อีกหนึ่งภาระที่ปฏิเสธไม่ได้นั่นคือสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ พรรคยักษ์ใหญ่ในวงการเมืองไทย ที่กำลังเจอมรสุมคดียุบพรรคที่นาทีนี้คงไม่มีโหรการเมืองคนไหนกล้าออกมาฟันธงว่าผลการตัดสินของศาลว่าจะพิจารณายุบหรือไม่ยุบพรรค
อลงกรณ์ แสดงความเห็นต่อกรณีนี้ว่า ต้องยอมรับว่าอนาคตของพรรคประชาธิปปัตย์อยู่บนเงื่อนไขของการยุบพรรคโดยตรง ถ้าหากศาลมีคำสั่งยุบก็จบและแน่นอนว่าสมาชิกพรรคที่เหลืออยู่ก็ต้องก่อตั้งพรรคขึ้นมาใหม่ ภายใต้อุดมการณ์เดิม และทันทีที่พรรคโดนยุบก็จะส่งผลต่อการเมืองแน่นอน ทั้งกรณีจำนวนเสียงของรัฐบาลที่ลดลง การจัดตั้งรัฐบาลใหม่การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ก็จะเกิดตามมา
“พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่ไม่มีวันตายถึงแม้พรรคจะถูกยุบไปจริงอย่างไรอุดมการณ์ของพรรคก็ไม่ได้ถูกยุบไปด้วยก็ยังคงมีคนรุ่นใหม่ดำเนินการต่อไปได้แน่นอน”
โดยส่วนตัวเขาเชื่อว่าหากพรรคไม่โดนยุบการบริหารงานของประเทศก็จะดำเนินต่อไปอย่างไม่มีปัญหา เพราะเราเคยผ่านจุดที่เลวร้ายที่สุดมาแล้วจากกรณีการเผาบ้านเผาเมือง และการพัฒนาความปรองดองก็มีแนวโน้มจะเดินหน้าไปได้ด้วยดี ยกตัวอย่างกรณีเลยโมเดลตามแผนการปรองดองแห่งชาติ ที่เน้นให้ทุกสีทุกฝ่ายหันมาร่วมกันพัฒนาความกินดีอยู่ดีโดยการพัฒนาธุรกิจยางพาราของจังหวัดเลย ตามแนวคิด “เชื่อมเลย เชื่อมลาว เชื่อมโลก” ซึ่งทุกคนก็ร่วมมือทำงานเป็นอย่างดีไม่มีแยกสีแยกฝ่าย
“...ประชาชนต้องการความกินดีอยู่ดี ต้องเอาการพัฒนานำการเมือง ...ผมเป็นรัฐมนตรีคนแรกที่จับมือกับนปช.และร่วมกันทำงานเพื่อการพัฒนา”
นอกจากนี้อลงกรณ์ฯ ยังให้ความเห็นถึงประเด็นการจับขั้วรัฐบาลในการเลือกตั้งสมัยหน้า ว่า ไม่เคยคิดว่าการจับขั้วรัฐบาลเป็นจริงในรัฐบาลไทย และสูตรสำเร็จของรัฐบาลไม่เคยเกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้ง และทุกอย่างจะเกิดขึ้นเป็นรูปธรรมก็ต่อเมื่อสิ้นสุดการเลือกตั้ง และขึ้นตรงกับผลการเลือกตั้ง พรรคร่วมในปัจจุบันหรือพรรคประชาธิปัตย์เองก็อาจสลับหรือสลายขั้วไปเป็นฝ่ายค้านก็เป็นได้
โดยอลงกรณ์ฯ เชื่อว่าการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในครั้งหน้าว่าถือเป็นโอกาสดีของพรรคประชาธิปัตย์ที่จะมีโอกาสถูกเลือกมากเป็นพรรคอันดับ1 เพราะไม่เพียงความนิยมในภาพลักษณ์ของนายกรัฐมนตรีอย่างเดียวแต่ประเมินจากผลงานของรัฐบาลที่ผ่านมาทั้งการช่วยเหลืออุทกภัยที่รัฐบาลช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็วทันท่วงที และการพัฒนาเปลี่ยนแปลงทางดีของโครงการต่างๆที่จัดทำขึ้นจึงกล่าวได้ว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในขณะนี้ของเมืองไทย
ทั้งนี้ อลงกรณ์ ยังได้ให้ความเห็นต่อกรณีของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพียงสั้นๆว่า การพัฒนาประเทศประกอบด้วยปัจจัยหลายอย่างและการเมืองก็เป็นหนึ่งในปัจจัยนั้น โดยเปรียบกรณีพ.ต.ท.ทักษิณฯ เหมือนเสี้ยนในเนื้อที่อาจก่อให้เกิดหนองขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ จึงอยากฝากบอกพ.ต.ท.ทักษิณว่าให้เห็นนประโยชน์ประเทศให้มากกว่าประโยชน์ส่วนตัว
*******************
ผมแค่รมต.แถวสอง
ภาพหนึ่งที่หลายคนคงยังจำกันได้ของรัฐมนตรีผู้นี้ คือลีลาเผ็ดร้อนของมือปราบซีดีเถื่อนผู้โด่งดัง แม้วันนี้ข่าวคราวการออกรบกับพ่อค้ามาเฟียเถื่อนอาจดูว่าอ่อนแรงไปบ้างในสายตาประชาชน แต่รัฐมนตรีหนุ่มเมืองเพชรรายนี้ยังคงยืนยันว่าเข้มข้นเหมือนเดิม การันตีด้วยประโยคที่ว่า “ผมเป็นคนกัดไม่ปล่อยอยู่แล้ว ...ใครลองของโดนจับแล้วขายอีกเราก็จับอีก”
หลังจากที่ รมต.จ้อน เข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ก็เกิดกระแสเสียงหนึ่งในวงสนทนาของสังคมการเมืองทั่วไปเขาทำหน้าที่เป็น พี่เลี้ยงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์พรทิวา นาคาศัย เมื่อถูกถามคำถามประเด็นนี้ รัฐมนตรีจอมโปรเจ็คต์ ถึงกับกับหัวเราะและสอึกไอในทันทีก่อนจะตอบเชิงปฏิเสธว่า
“พูดอย่างนั้นไม่ได้ ตัวผมเองเหมือนรัฐมนตรีแถวสอง และตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เองก็เป็นถึงเลขาธิการพรรคใหญ่อันดับสองของเมืองไทย เพราะฉะนั้นการทำงานจึงต้องให้เกียรติกัน ที่สำคัญคือเราเป็นคณะรัฐมนตรีด้วยกันไม่ได้แบ่งแยกว่าใครมาจากพรรคไหน การทำงานไม่มีคำว่าพรรคมาเกี่ยวข้อง”
และยังบอกต่อว่าในบางครั้งก็อาจมีบ้างที่รัฐมนตรีพรทิวาฯ จะมาขอคำปรึกษาในฐานะเพื่อนร่วมงาน หากเป็นปัญหาที่เหนือบ่ากว่าแรงก็จะมีผู้ใหญ่ในพรรคคอยดูแลแก้ปัญหาอยู่
ก่อนสิ้นสุดการตอบคำถามในการสัมภาษณ์ รัฐมนตรีผู้นี้ก็ได้ทิ้งวาทะเชิงปริศนาหนึ่งให้ได้ขบคิดถึงความหมาย ว่า “ผมเล็กเกินไปที่จะทำอะไรหลายๆอย่างพร้อมๆกัน”