เพื่อไทยระส่ำ ศึกในหนักกว่าศึกนอก
ปรากฏการณ์สองขั้วที่กำลังจะขยายรอยร้าวภายในเพื่อไทยให้บานปลายหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ล้วนแต่มีผลต่อการสู้ศึกเลือกตั้ง
ปรากฏการณ์สองขั้วที่กำลังจะขยายรอยร้าวภายในเพื่อไทยให้บานปลายหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ล้วนแต่มีผลต่อการสู้ศึกเลือกตั้ง
************************
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
สถานการณ์การเมืองสำหรับพรรคเพื่อไทยเวลานี้ไม่ค่อยสู้ดีนัก
ไหนจะ “ศึกนอก” ที่รุมเร้าอย่างหนักเวลานี้ ทั้งการเดินเครื่องต่อสายดูดอดีต สส. ให้ย้ายไปอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ ผ่านการขับเคลื่อนของ “กลุ่มสามมิตร” จนทำให้หลายพื้นที่ที่เคยเป็นฐานเสียงอันเหนียวแน่นของเพื่อไทยต้องสั่นคลอนหนักขึ้นเรื่อยๆ
ขณะที่อีกหลายพื้นที่อยู่ระหว่างการประสานต่อรองในรายละเอียด ซึ่งต้องรอดูความชัดเจนกันในช่วงโค้งสุดท้าย
ปรากฏการณ์ดูดที่กำลังลุกลามขยายวงไปในหลายพื้นที่ ส่งผลทางจิตวิทยาให้คนที่เหลืออยู่ต้องเริ่มไขว้เขว และยังมีผลโน้มน้าวไปยังกลุ่มที่อยู่ระหว่างรอการตัดสินใจว่าจะอยู่หรือไป
ท่ามกลางกฎกติกาใหม่และปัจจัยแวดล้อมที่ดูจะเกื้อหนุนพรรคการเมือง ซึ่งมีเป้าหมายสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีต่ออีกสมัย
ยังไม่รวมกับการปูพรมอัดฉีดเม็ดเงินลงพื้นที่ในฐานะรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่กำลังเริ่มนับถอยหลังรอการก้าวลงจากอำนาจไปสู่การเลือกตั้งที่ยากจะบิดพลิ้วได้อีกต่อไป
สอดรับไปกับการเร่งลงพื้นที่ของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ขึ้นเหนือกล่องใต้ บุกอีสาน เหนือ กลาง จัดเดินสายประชุม ครม.สัญจรไปตามหัวเมืองหลัก หัวเมืองรองพร้อมอนุมัติโครงการที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ด้วยเม็ดเงินมหาศาล
จนถูกมองว่าเป็นการเร่งทำคะแนนกู้ความเชื่อมั่นให้ฟื้นกลับคืนมา เพื่อลุ้นเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนใน หากทุกอย่างสอดรับกับที่มีความพยายามปูทางกันไว้ในหลายมิติ
แรงกดดันที่หนักหน่วงทำให้พรรคเพื่อไทยต้องออกมารีบตัดตอนป้องกันไม่ให้ทุกอย่างบานปลาย ด้วยการยื่นเรื่องร้องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เข้ามาตรวจสอบเรื่องการดูดแบบเปิดเผยด้วยเกรงว่าจะเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง
ควบคู่ไปกับแรงกดดันที่บรรดาแกนนำพรรคเพื่อไทยที่ทยอยออกมาเรียกร้องให้ กกต. ใช้ความเด็ดขาดและมีมาตรฐานเท่าเทียมกันกับพรรคอื่นเข้าไปดูแลปัญหาเรื่องนี้
ทั้งอำนาจเงิน อำนาจรัฐ และทรัพยากรในมือ ยังไม่รวมกับอำนาจพิเศษ ซึ่งล้วนแต่ทำให้สถานการณ์การเลือกตั้งรอบนี้ของเพื่อไทยดูจะหนักหน่วงกว่าครั้งที่ผ่านๆ มาอยู่ไม่น้อย
แต่ “ศึกนอก” ที่รุมเร้าอยู่ในเวลานี้ดูจะรุนแรงไม่เท่ากับ “ศึกใน” ที่เต็มไปด้วยความปั่นป่วนบั่นทอนเอกภาพภายในรุนแรง
เริ่มตั้งแต่หัวขบวนใหญ่ที่ยังไม่อาจสามารถสรุปความชัดเจนว่าจะมอบไม้ต่อให้ใครขึ้นมารับหน้าที่กุมบังเหียนขับเคลื่อนพรรคขนาดใหญ่ที่เคยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลมาแล้วสองรอบได้
หลังอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องหลบหนีคดีออกนอกประเทศ ภายในพรรคก็เริ่มระหองระแหงด้วยสภาพที่ไม่อาจหาใครซึ่งเป็นที่ยอมรับของทุกกลุ่มก๊วนได้โดยดี
ด้านหนึ่ง คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่เคยได้รับไฟเขียวจากแดนไกลวางตัวให้มารับหน้าที่สำคัญนี้ไปแล้ว ด้วยหวังเอาจุดเด่นเรื่องความเป็นคนกลางพอจะประนีประนอมกับหลายๆ ฝ่ายรวมทั้ง คสช.เพื่อลดแรงกดดันในอนาคต
แต่ทุกอย่างเริ่มไม่ง่ายเมื่อหลายเสียงภายในพรรคก็ไม่ได้เห็นดีเห็นงามไปกับสไตล์การทำงานและบุคลิกของ คุณหญิงสุดารัตน์เสียทั้งหมด ถึงขั้นเกิดการออกมางัดข้อไปจนถึงขัดแข้งขัดขากันวุ่นวายในช่วงที่ผ่านมา
ตรงนี้กลายเป็นจุดอ่อนที่เป็นหนึ่งในปัจจัยทำให้เกิดการไหลออกหนักขึ้นเรื่อยๆ ดังจะเห็นว่าหลายพื้นที่ที่ถูกดูดออกไปนั้น ล้วนแต่ยืนนอยู่คนละฝั่งกับคุณหญิงสุดารัตน์ และเป็นช่องว่างที่ฝั่งตรงข้ามพิจารณาและเริ่มเจาะพรรคเพื่อไทยจากจุดดังกล่าวดึงเอาคนส่วนนี้ไปร่วมงาน
ท่ามกลางกระแสข่าวว่ามีอีกหลายคนที่อยู่ระหว่างการทาบทาม ทั้ง พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก อดีตรองนายกรัฐมนตรี สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ รวมถึง สันติ พร้อมพัฒน์ อดีต รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และอีกหลายแกนนำพรรคเพื่อไทยที่ถูกทาบทามขณะนี้
ความเห็นต่างนำไปสู่แรงผลักดันจากฝั่งเจ๊แดง-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ที่ต้องการให้ดึงเอาจุดแข็งความเป็นตระกูลชินวัตรกลับมา โดยเดินเกมหนุน สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ สามีกลับมารับหน้าที่สำคัญ และหากดันไม่ไหว จะหนุนลูกชายเสียบแทน โดยอ้างคนในพรรคเพื่อไทยไม่หนุนคุณหญิงสุดารัตน์
ปรากฏการณ์สองขั้วที่กำลังจะขยายรอยร้าวภายในเพื่อไทยให้บานปลายหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ล้วนแต่มีผลต่อความเข้มแข็งอันจะถูกคู่ต่อสู้เล่นงานและมีปัญหาต่อไปในการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น
ศึกในเวลานี้จึงส่อเค้ากว่าศึกนอกที่รุมเร้าอยู่เป็นอย่างมาก