posttoday

พลิกเกมยื่นศาลรัฐธรรมนูญ สนช.มีแต่ได้และคุ้ม

19 มีนาคม 2561

สรุปว่าหมากเกมนี้ สนช.ได้ทั้งขึ้นและล่อง ลงทุนไม่เท่าไรแต่ได้รับผลตอบแทนอย่างคุ้มค่า

สรุปว่าหมากเกมนี้ สนช.ได้ทั้งขึ้นและล่อง ลงทุนไม่เท่าไรแต่ได้รับผลตอบแทนอย่างคุ้มค่า

*******************************

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ชุดนี้มักจะสร้างความประหลาดในทางการเมืองเสมอ โดยเฉพาะช่วงการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ เพราะจะทำในสิ่งที่สภาชุดก่อนๆ ไม่ทำมาก่อน

เริ่มตั้งแต่เซตซีโร่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เมื่อครั้งพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย กกต. โดยเมื่อการยกร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ปรากฏว่า กกต.ชุดก่อนที่จะมีรัฐธรรมนูญดังกล่าวก็ไม่ได้ถูกเซตซีโร่ผิดกับ กกต.ชุดปัจจุบันที่โดนสึนามิเข้าอย่างจัง สร้างคำถามให้เกิดตามมาว่าบรรทัดฐานทางกฎหมายอยู่ตรงไหนกันแน่

เช่นเดียวกับกรณีของร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต สนช.ได้แก้ไขบทเฉพาะกาลด้วยการยกเว้นการบังคับใช้ลักษณะต้องห้ามบางประการที่รัฐธรรมนูญกำหนด มีผลให้กรรมการ ป.ป.ช.ที่เคยทำหน้าที่เป็นข้าราชการเมือง และกรรมการองค์กรอิสระมาก่อน สามารถทำหน้าที่ต่อไปได้ ยังดีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยในภายหลังว่าไม่ขัดรัฐธรรมนูญ พอช่วยให้ สนช.รอดตัวไปได้บ้าง

ความพิสดารในการทำกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญของ สนช.ได้ลามมาถึงร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. และร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. อย่างมีนัยสำคัญ

อย่างกรณีของร่างกฎหมายเลือกตั้ง สส. สนช.ลงมือผ่าตัดหัวใจสำคัญคือ ระยะเวลาของการเริ่มต้นใช้บังคับกฎหมาย ซึ่งจากเดิมคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กำหนดให้กฎหมายมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป แต่ สนช.แก้ไขให้กฎหมายใช้บังคับเมื่อพ้นระยะเวลา 90 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา

การแก้ไขดังกล่าว สนช.ได้พยายามชักแม่น้ำทั้ง 5 สาย ว่าต้องการให้สอดคล้องกับคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 53/2560 ไม่ได้มีเจตนาเป็นอย่างอื่น แต่ความหวังดีของ สนช.ส่งผลให้การเลือกตั้งต้องถูกเลื่อนออกไป 90 วัน นำมาซึ่งเสียงท้วงติงในทำนองว่า สนช.พยายามจะยื้อการเลือกตั้งออกไป

แต่ที่ดูกลับหัวกลับหางมากที่สุดคงหนีไม่พ้นร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว.

สนช.ได้ออกแบบการได้มาซึ่ง สว.ในเวอร์ชั่นของตัวเองและเอาไปใส่ไว้ในบทเฉพาะกาลและใช้บังคับในวาระแรกเริ่มเป็นเวลา 5 ปี ทั้งเรื่องการให้สมัคร สว. โดยอิสระและการสมัครผ่านองค์กรนิติบุคคล ไปจนถึงการกำหนดให้ สว.มาจากกลุ่มวิชาชีพจำนวน 10 กลุ่ม

ส่วนวุฒิสภาในเวอร์ชั่นของ กรธ.นั้น ไม่ว่าจะเป็นการเลือกไขว้ข้ามกลุ่มการสมัคร สว.โดยอิสระเพียงอย่างเดียว และการกำหนดกลุ่มวิชาชีพจำนวน 20 กลุ่ม ยังคงในบทหลักของร่างกฎหมาย สว.ตามเดิม เพียงแต่จะมีผลใช้บังคับเมื่อพ้นระยะเวลา 5 ปีไปแล้ว

หากจะบอกว่าเป็นกฎหมาย สว.ในแบบ “วัดครึ่ง-กรรมการครึ่ง” ก็ดูจะไม่ผิดไปจากความหมายเท่าใดนัก

ทว่า ความพิลึกของ สนช.ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะล่าสุดเตรียมยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว.

สาเหตุที่ต้องบอกว่ามีความพิลึก เนื่องจากเป็นร่างกฎหมายที่ สนช.ลงมติให้เห็นชอบด้วยคะแนน 202 ต่อ 1 คะแนน ซึ่งเป็นคะแนนที่ห่างกันแบบไม่เห็นฝุ่น และยังยืนยันความเป็นฉันทานุมัติของสภาด้วยว่าได้เห็นชอบกับร่างกฎหมายดังกล่าวเป็นอย่างยิ่ง

อีกทั้งทันทีที่ สนช.ลงมติเห็นชอบบรรดาสมาชิก สนช.จำนวนไม่น้อยต่างออกมาแสดงความคิดเห็นว่าไม่จำเป็นต้องส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญให้เสียเวลาอีก

แต่ทำไปทำมา สนช.เตรียมยื่นศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 19 มี.ค. เรียกได้ว่ากลืนน้ำลายตัวเองแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทั้งที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยอันเป็นการวางหลักการเอาไว้แล้วว่า สนช.มีอำนาจพิจารณาแก้ไขร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ

ส่วนหนึ่งที่ทำให้ สนช.เปลี่ยนใจน่าจะมาจากการออกท้วงติงด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวของ “มีชัย ฤชุพันธุ์”ประธาน กรธ.

อย่างไรก็ตาม หากมองถึงปัจจัยสำคัญที่สุดที่มีผลให้ สนช.เปลี่ยนใจ คือ ผลประโยชน์ทางการเมืองที่ สนช.จะได้รับทั้งขึ้นและล่อง

ที่ผ่านมา สนช.ถูกโจมตีมาตลอดว่าแก้ไขกฎหมายขัดกับรัฐธรรมนูญและทำผิดบรรทัดฐานที่สภาเคยทำไว้ในหลายเรื่อง ดังนั้น การให้ศาลเข้ามาชี้ขาดและหากผลในบั้นปลายออกมาเป็นคุณกับ สนช. แน่นอนว่า สนช.ย่อมได้หน้าแบบเต็มๆ

ในทางกลับกัน ถ้าเกิดเหตุวิสัยในลักษณะที่ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว.มีเนื้อหาขัดกับรัฐธรรมนูญและมีผลให้กฎหมายต้องมีอันเป็นไปทั้งฉบับ สนช.ก็ไม่เดือดร้อนเช่นกัน

กล่าวคือ สนช.ย่อมอ้างได้ว่าร่างกฎหมายที่ตกไปและต้องไปเริ่มนับหนึ่งกันใหม่นั้นไม่ได้มาจาก สนช. แต่เป็นการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญในฐานะฝ่ายตุลาการ ซึ่งปัจจุบันกฎหมายศาลรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ประกาศใช้แล้ว โดยมีเนื้อหาคุ้มครองศาลรัฐธรรมนูญมากขึ้น แน่นอนว่าเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงการทำงานของศาลอาจไม่ดังเหมือนในอดีต

ไม่เพียงเท่านี้ สนช.ยังได้นั่งอยู่ในเก้าอี้ของตัวเองนานขึ้นไปอีก เพราะการทำกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญครั้งใหม่ถ้ามี จะไม่มีกรอบเวลาบีบเหมือนกับการยกร่างในตอนแรก

สรุปว่าหมากเกมนี้ สนช.ได้ทั้งขึ้นและล่อง ลงทุนไม่เท่าไรแต่ได้รับผลตอบแทนอย่างคุ้มค่า

ข่าวล่าสุด

ตลาดหุ้นไม่ใช่ปิกนิก! “ดร.นิเวศน์” ย้ำ 5 ข้อต้องเข้าใจและทำใจในการลงทุน