posttoday

นาฬิกา-แหวน "ประวิตร" บทพิสูจน์ความเชื่อมั่น ปปช.

12 ธันวาคม 2560

การชี้ขาดของ ป.ป.ช.ครั้งนี้ จึงมีผลต่อความเชื่อมั่นในสายตาประชาชนเป็นอย่างมาก อันจะรวมไปถึงมุมมองต่อภาพลักษณ์ข้อครหาเดิม

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีคำชี้แจงอย่างเป็นทางการจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ถึงที่มาที่ไปของแหวนเพชรและนาฬิกาหรู ซึ่งกำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อยู่ในขณะนี้ โดยเจ้าตัวยืนยันว่าจะชี้แจงต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพียงอย่างเดียว

ล่าสุด คนใกล้ชิด พล.อ.ประวิตร ออกมาระบุว่า คำชี้แจงน่าจะส่งถึงมือ ป.ป.ช. ในวันที่ 12 ธ.ค.นี้ หลังจากที่ ป.ป.ช.ได้ทำเรื่องสอบถามถึงที่มาของทรัพย์สินดังกล่าว โดยสามารถชี้แจงด้วยตัวเองหรือจะทำหนังสือชี้แจง

ทำให้สังคมยังไร้คำตอบที่ชัดเจนถึงที่มาที่ไป มีเพียงแค่เสียงบอกเล่าที่ไร้คำยืนยันทั้งเรื่องแหวนของมารดา และนาฬิกาที่เพื่อนนักธุรกิจให้หยิบยืมมาใส่ จนยิ่งปลุกให้กระแสวิพากษ์วิจารณ์รุนแรงกว่าเดิม

แต่แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ประเด็นเรื่องของแค่ความเหมาะสม แต่เกี่ยวพันถึงเรื่องคดีความที่มีโทษร้ายแรง

ดังจะเห็นว่า ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้ยื่นหนังสือต่อ ป.ป.ช. เพื่อให้ตรวจสอบเรื่องนี้ว่าเข้าข่ายขัดต่อ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 2542 มาตรา 32 มาตรา 33 และมาตรา 34 ประกอบมาตรา 66 ฐานจงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. หรือจงใจยื่นบัญชีด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือไม่ 

สืบเนื่องจากคำพูดของ พล.อ.ประวิตร ที่ออกมาระบุว่าทรัพย์สินดังกล่าวได้มานานแล้ว แต่จากการตรวจสอบรายการทรัพย์สินที่ทาง พล.อ.ประวิตร ยื่นต่อ ป.ป.ช. หลังเข้ารับตำแหน่งนั้นไม่ปรากฏทรัพย์สินทั้งสอง รายการที่กำลังเป็นประเด็นอยู่ในเวลานี้

เผือกร้อนจึงถูกส่งมายัง ป.ป.ช. ในฐานะผู้ที่จะทำหน้าที่วินิจฉัยชี้ขาดว่า พล.อ.ประวิตร มีความผิดหรือไม่ ท่ามกลางแรงกดดันของสังคมที่กำลังจับจ้องว่าบทสรุปสุดท้ายของเรื่องนี้จะออกมาอย่างไร

ที่สำคัญคำวินิจฉัยที่จะออกมาย่อมส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของ ป.ป.ช.อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ยิ่งในกรณีที่สมมติคำวินิจฉัยออกมาว่า พล.อ.ประวิตร ไม่มีความผิด

เริ่มตั้งแต่ด้วยสถานะความสัมพันธ์ของ พล.อ.ประวิตร และ พล.ต.อ. วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. ที่มองว่าสนิทแนบแน่นกันมายาวนาน

จะเห็นว่าหลังรัฐประหารวันที่ 22 พ.ค. 2557 พล.ต.อ.วัชรพล ได้รับการวางตัวให้มาปฏิบัติหน้าที่รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) แทน พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ที่ถูกคำสั่งให้ปฏิบัติหน้าที่สำนักนายกรัฐมนตรี

พร้อมกับได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และได้รับตำแหน่งรองเลขาธิการรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร) ก่อนจะลาออกจาก สนช. และรองเลขาธิการรองนายกฯ เพื่อมาสมัครกรรมการ ป.ป.ช. จนก้าวเข้าสู่ตำแหน่งประธาน ป.ป.ช.ในเวลาต่อมา

ท่ามกลางกระแสข่าวก่อนหน้านี้ ที่ พล.อ.ประวิตร ออกมาส่งสัญญาณไปยังกรรมการร่างรัฐธรรมนูญและ สนช. ไม่ให้มีการเซตซีโร่ ป.ป.ช.ชุดนี้ต่างจากองค์กรอิสระอื่นๆ

สัมพันธ์ดังกล่าวส่งผลให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ เมื่อครั้ง ป.ป.ช.มีมติอุทธรณ์ผลคำพิพากษาคดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ปี 2551 ว่าไม่มีความผิด แค่จำเลยคนเดียวคือ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.)

ส่วนจำเลยอีก 3 คน ซึ่งรวมทั้ง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. ทาง ป.ป.ช.ไม่ได้อุทธรณ์ จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าเกี่ยวข้องกับสถานะความเป็นน้องชาย พล.อ.ประวิตรหรือไม่

จน พล.ต.อ.วัชรพล ต้องออกมาชี้แจงว่า “เป็นมุมมองของแต่ละคน แต่ยืนยันว่าพิจารณาทุกอย่างตามหลักกฎหมายและพยานหลักฐาน มุมมองตามกฎหมายเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล แล้วแต่ว่าใครจะมอง อาจแตกต่างทางกฎหมายกันได้ หากใครเป็นนักกฎหมายให้ไปดูคำวินิจฉัยส่วนตัวของผู้พิพากษาแต่ละคนจะเข้าใจได้”

การชี้ขาดของ ป.ป.ช.ครั้งนี้ จึงมีผลต่อความเชื่อมั่นในสายตาประชาชนเป็นอย่างมาก อันจะรวมไปถึงมุมมองต่อภาพลักษณ์ข้อครหาเดิมที่มององค์กรอิสระในอดีตว่าถูกแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง จนนำไปสู่วังวนปัญหาที่เป็นเป็นมา

การปฏิรูปที่รัฐบาล คสช.ตั้งเป้าหยิบยกเรื่องนี้มาเป็นหนึ่งในโจทย์ที่ต้องการจะแก้ไขให้องค์กรอิสระปราศจากการแทรกแซงจึงอาจไปไม่ถึงฝั่งฝัน หากรัฐบาลนี้กลับยังต้องมาเผชิญปัญหานี้เสียเอง

ยิ่งในเวลานี้กระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโซเชียลมีเดียดุเดือดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แถมยังนำไปเปรียบเทียบกับกรณีคล้ายคลึงกันในต่างประเทศที่มีการลงโทษดำเนินคดีคนทำผิดให้เป็นแบบอย่าง

แรงกดดันไม่ใช่เพียงจะถาโถมใส่ ป.ป.ช. หนักขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังส่งผลกระทบต่อรัฐบาลและ คสช.ตามไปด้วย

เมื่อรัฐบาล คสช.ประกาศเดินหน้าปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นถึงขั้นหยิบยกให้เป็นวาระแห่งชาติ แถมไม่กี่ี่วันก่อน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยังจัดงานใหญ่เอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้

แต่ตราบใดที่กรณีคนใกล้ตัวยังไม่ได้รับการสะสาง สุดท้ายแรงกดดันทั้งหมดย่อมวกกลับมายัง คสช.