แหวนเพชร ‘ประวิตร’ ชนวนใหม่ ซ้ำเติม คสช.
กลายเป็นปัญหาซ้ำเติมความเชื่อมั่นฉุดคะแนนนิยมรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) รอบใหม่
กลายเป็นปัญหาซ้ำเติมความเชื่อมั่นฉุดคะแนนนิยมรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) รอบใหม่
เมื่อนาฬิกาสุดหรูและแหวนเพชรของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ที่ถูกแซวในวันถ่ายรูปรวม ครม.ประยุทธ์ 5 บานปลายกลายเป็นระเบิดเวลาที่รอวันปะทุแน่นอนในทางกฎหมายคงต้องใช้เวลาพักใหญ่กับการพิสูจน์ถึงที่มาที่ไปของนาฬิกาและแหวนเพชรของ พล.อ.ประวิตร หลังจากมีผู้ร้องเรียนให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของ พล.อ.ประวิตร อันอาจเข้าข่ายขัดต่อ พ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 2542 มาตรา 32 มาตรา 33 และมาตรา 34 ประกอบมาตรา 66 ฐานจงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. หรือจงใจยื่นบัญชีฯ ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ
ล่าสุด พล.อ.ประวิตร บ่ายเบี่ยงไม่ตอบคำถามถึงที่มาที่ไปของนาฬิกาและแหวนเพชร โดยระบุเพียงแค่จะไปชี้แจงต่อ ป.ป.ช. และมีหลักฐานที่พร้อมชี้แจง
จากข้อมูลที่ พล.อ.ประวิตร ยื่นบัญชีทรัพย์สินหลังเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 4 ก.ย. 2557 ระบุว่ามีทรัพย์สินรวม 87.37 ล้านบาท ปัญหาอยู่ตรงในส่วนของ “ทรัพย์สินอื่น” พล.อ.ประวิตร ไม่ได้แจ้งต่อ ป.ป.ช.
ดังนั้นต้องชี้แจงถึงที่มาที่ไปของทรัพย์สินดังกล่าว ทั้ง ได้มาจากไหน เมื่อไหร่ และหากซื้อใช้เงินที่ไหนซื้อ
ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าสุดท้าย ป.ป.ช.คงจะเอาผิดได้ยาก ทั้งในแง่ข้อเท็จจริงที่หากมีคำอธิบายจาก พล.อ.ประวิตร ถึงที่มาที่ไป
ขณะที่บางส่วนมองไปถึงเรื่องสัมพันธ์อันแนบแน่นของ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. และ พล.อ.ประวิตร แต่ไม่ว่าผลสรุปจะออกมาอย่างไร เรื่องนี้สั่นคลอนความเชื่อมั่นของ คสช.ไปแล้ว ดังจะเห็นจากความคิดเห็นโดยเฉพาะในสังคมออนไลน์ ที่ขุดคุ้ยหาข้อมูลของราคานาฬิกาสุดหรู พร้อมคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ดุเดือด
ที่สำคัญกรณีนี้จะกลายเป็นอีกกรณีตัวอย่างที่ยืนยันว่ารัฐบาลเอาจริงเอาจังกับการปราบปรามการทุจริตอย่างที่เคยประกาศไว้มากน้อยแค่ไหน เพราะก่อนหน้านี้เคยพยายามพูดถึงมาตรการที่จะออกมาสกัดการทุจริต
ยังไม่รวมกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์ก่อนหน้านี้เรื่อง พ.ร.บ. ป.ป.ช. ใหม่ มาตรา 104 กำหนดให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เปิดเผยข้อมูลรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของนักการเมืองต่อสาธารณะได้ โดยสรุปไม่จำเป็นต้องแจกแจงรายละเอียดเหมือนที่ผ่านมา อันจะทำให้การตรวจสอบเป็นไปได้ยากมากขึ้น
ขณะที่ระเบียบ ป.ป.ช.ที่ออกเมื่อกลางปีนี้ กำหนดให้เปิดเผยข้อมูลจะยกเว้นหรือปกปิด 14 รายการ จากเดิม 4 รายการ จนอาจเป็นเหตุให้การตรวจสอบทรัพย์สินมีข้อจำกัด
กรณีแหวนเพชรและนาฬิกาของ พล.อ.ประวิตร ไม่ใช่กรณีแรกที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ก่อนหน้านี้เคยมีเรื่องร้อนที่ พล.อ.ประวิตร เข้าไปเกี่ยวข้อง ทั้งเรื่อง ทริปฮาวาย การใช้จ่ายเงินงบประมาณ 20.9 ล้านบาท ในการเดินทางไปประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนและรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 29 ก.ย.-1 ต.ค. 2559
ต่อมา ทางสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ออกมาระบุว่า จากการตรวจสอบพบว่ายังไม่พบความผิดปกติในการใช้งบประมาณ หรือบ่งชี้ว่ามีการทุจริต ส่วนจะเป็นเรื่องของความเหมาะสมหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องคล้ายกับกรณีเรื่องนโยบายกวดขันห้ามนั่งท้ายรถกระบะ ห้ามนั่งในแค็บ และรวมไปถึงการรัดเข็มขัดนิรภัย ที่ออกมาในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์รุนแรงเพราะกระทบกับวิถีชีวิตและการทำมาหากินของประชาชน จน พล.อ.ประวิตร ต้องออกมายอมรับว่าเป็นผู้คิดนโยบายดังกล่าวขึ้นมา ขอให้ประชาชนอย่าไปโจมตีนายกฯ ในเรื่องนี้ และไม่ห่วงว่าคะแนนนิยมของรัฐบาลจะลดลง
ยังไม่รวมกับกรณีเรือดำน้ำที่ว่ากันว่ามีแรงผลักดันจาก พล.อ.ประวิตร ท่ามกลางเสียงดักคอถึงความเหมาะสมในวันที่ฐานะการเงินของประเทศกำลังง่อนแง่นที่่ผ่านมาจึงมีกระแสเรียกร้องให้ปลด พล.อ.ประวิตร พ้นจาก ครม.หลายระลอก แต่ทว่าจนถึงรอบล่าสุด พล.อ.ประวิตร ก็ยังสามารถรักษาสถานะใน ครม.ได้อย่างเหนียวแน่น
การตกเป็นเป้าที่ถูกถล่มอย่างต่อเนื่องของ พล.อ.ประวิตร จึงกลายเป็นแรงฉุดที่ซ้ำเติมความเชื่อมั่น คสช.