posttoday

เอกภาพ กองทัพ-คสช. แน่นปึ้ก

01 ธันวาคม 2560

การปรับเปลี่ยนตำแหน่งรอบใหม่สำหรับ “ครม.ประยุทธ์ 5” ว่าเป็นการขยับครั้งใหญ่อีกครั้งในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถูกมองว่าอาจนำไปสู่รอยร้าวภายใน

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

การปรับเปลี่ยนตำแหน่งรอบใหม่สำหรับ “ครม.ประยุทธ์ 5” ว่าเป็นการขยับครั้งใหญ่อีกครั้งในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถูกมองว่าอาจนำไปสู่รอยร้าวภายใน และบานปลายกลายเป็นแรงกระเพื่อมใต้น้ำที่บั่นทอนเสถียรภาพภายในคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต่อไป

จากก่อนหน้านี้ที่เกิดกระแสเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ ใช้โอกาสนี้ปรับเปลี่ยนตำแหน่ง โดยนำเอาคนที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ตรงตามสายงานมาทดแทนบรรดา “บิ๊กทหาร” คนใกล้ชิดที่ทำงานมาแล้ว 3 ปี แต่ยังไม่อาจสร้างผลงานให้เป็นที่ยอมรับ

แต่สุดท้ายเมื่อรายชื่อ ครม.ชุดใหม่ออกมา บรรดา “คีย์แมน” ​ในคสช.ก็ยังอยู่ในตำแหน่งเหมือนเดิม

ด้านหนึ่งแม้จะทำให้รัฐบาล คสช.ถูกโจมตีว่ายังยึดติดอยู่กับเรื่อง “พวกพ้อง” มากกว่าความรู้ความสามารถ ​จนกลายเป็นเหตุให้การบริหารงานในช่วงที่ผ่านมาไม่อาจเดินหน้าไปสู่เป้าหมายที่หวัง

แต่อีกด้านหนึ่งการตัดสินใจของ พล.อ.ประยุทธ์ ​ย่อมมองไปถึงปัจจัยเรื่อง “เสถียรภาพ”​ และ “เอกภาพ” ภายในกองทัพและ คสช.ที่ถือเป็นเรื่องสำคัญ อันอาจจะสำคัญมากกว่าการเร่งสร้างผลงาน ฟื้นคืนความเชื่อมั่นที่ลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ ในระยะหลัง

ยิ่งในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญกับการเดินหน้าไปสู่ “เลือกตั้ง”ที่เต็มไปด้วยแรงเสียดทานรอบด้าน

การลดปัจจัยเสี่ยงอันจะเป็นชนวนนำไปสู่ความขัดแย้งภายในรัฐบาล คสช.และกองทัพ ล้วนแต่เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อไม่ให้ทุกอย่างกลับมาซ้ำเติมสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน

จะเห็นว่า 2 เป้าใหญ่ อย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ที่มีกระแสเรียกร้องให้ปรับออกจาก ครม.อย่างต่อเนื่องนั้น

แต่ด้วยสัมพันธ์แนบแน่นระหว่าง “พี่น้องบูรพาพยัคฆ์” ที่ตัดกันไม่ขาด ทั้งสองตำแหน่งนี้จึงไม่ถูกปรับเปลี่ยนแต่อย่างไร

แน่นอนว่าตำแหน่งของ พล.อ.ประวิตร ถือเป็นตำแหน่งสำคัญที่ดูแลงานด้านความมั่นคง ถึงที่ผ่านมาจะมีข่าวคราวการระหองระแหงระหว่างพี่น้องคู่นี้หลายรอบ ถึงขั้นมีกระแสข่าว ลาออก ปรับออก ให้ได้ยินเป็นระยะ ​แต่เก้าอี้ของบิ๊กป้อมก็ยังเหนียวแน่นมาจนถึงปัจจุบัน

เช่นเดียวกับ พล.อ.อนุพงษ์ ในฐานะ มท.1 ที่คุมงานวางรากฐานทำพื้นที่มาตั้งแต่ต้น หากจะเปลี่ยนตัวคนอื่นมาในช่วงเตรียมตัวเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง อาจไม่เป็นผลดีกับรัฐบาล คสช.

ทว่าหากดูตำแหน่งของบรรดา “บิ๊กทหาร” ที่ถูกปรับออกจาก ครม.ประยุทธ์ นั้น ในแง่ตัวบุคคลจะเห็นว่าแต่ละคน “ขาลอย” พ้นจากอำนาจ และไม่ได้คุมกำลัง หรือมีอิทธิพล จน​ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพในรัฐบาลและกองทัพได้อีกต่อไป

ไล่มาตั้งแต่ ​พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร อดีต ผบ.สส. เพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 12 กับ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ได้รับความไว้วางใจให้รับตำแหน่งรองหัวหน้า คสช. จากก่อนหน้านี้ที่เคยถูกปรับพ้นจากตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ รอบนี้ถูกปลดพ้นตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี

ถัดมา พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย อดีต ผบ.ทร. จากที่เคยรับตำแหน่งรมว.ศึกษาธิการ และถูกปรับออกในปี 2558 เหลือเพียงแค่ตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ดูแลรับผิดชอบงานกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค

รอบนี้แม้ทั้งคู่จะถูกปรับออก แต่ก็ถือว่ายังสนิทสนมกับ พล.อ.ประยุทธ์ และยังมีตำแหน่งรองหัวหน้า คสช. ที่เชื่อมสัมพันธ์ไม่ให้ห่างเหินจนเกิดปัญหา

ส่วน พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ที่พ้นตำแหน่ง รมช.กลาโหม รอบนี้ ถึงจะเคยดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ. แต่ได้พ้นตำแหน่งไปนานพอสมควร ​จึงไม่มีอะไรที่รัฐบาล คสช.ต้องเป็นห่วง

เช่นเดียวกับ “บิ๊กบี้” พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล อดีต รมว.แรงงาน ที่ลาออกจากตำแหน่งก่อนหน้านี้ ซึ่งคิดว่าจะบานปลายเป็นปมขัดแย้ง ​ก็ไม่น่าจะส่งผลในทางปฏิบัติ เพราะ “บิ๊กบี้” เองก็ถือเป็นเด็กในคาถาของ พล.อ.ประวิตร ที่ยังอยู่ในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีปัจจุบัน

ยิ่งหากดูสัมพันธ์ระหว่างกองทัพและ คสช.เวลานี้ จะเห็นว่ามีเอกภาพแนบแน่น ทั้ง พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. ปัจจุบันที่ คสช.วางตัวให้มานั่งเก้าอี้ตัวนี้ ในช่วงปลาย คสช. 

รวมไปถึงมีแถวสองสำรองอย่าง “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์​ ผช.ผบ. ที่เป็นมือไม้ได้รับความไว้วางใจให้ทำงานสำคัญของ คสช.มาตั้งแต่ต้น ปัจจุบันก็จ่อคิวรอก้าวสู่ตำแหน่ง ผบ.ทบ.ตามที่วางไว้

เอกภาพทั้งภายในกองทัพและ คสช.เวลานี้จึงยังแนบแน่น ไม่เป็นปัญหาซ้ำเติม คสช.แต่อย่างไร