posttoday

รื้อ 2 คดี ทักษิณ ขึงพืดเพื่อไทย

23 พฤศจิกายน 2560

กลายเป็นประเด็นร้อนที่กำลังถูกจับตา เมื่ออัยการสูงสุด (อสส.) มีมติรื้อ 2 คดี ของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ขึ้นมาพิจารณาโดยไม่ต้องกระทำต่อหน้า

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

กลายเป็นประเด็นร้อนที่กำลังถูกจับตา เมื่ออัยการสูงสุด (อสส.) มีมติรื้อ 2 คดี ของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ขึ้นมาพิจารณาโดยไม่ต้องกระทำต่อหน้าสอดรับกับ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 28 ที่เพิ่งมีผลบังคับใช้

สืบเนื่องจากพนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ และพนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตได้ดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 

1.คดีออกกฎหมายแก้ไขค่าสัมปทานโทรศัพท์มือถือและดาวเทียมเป็นภาษีสรรพสามิต ซึ่ง อสส.เป็นโจทก์ฟ้องทักษิณในข้อหาเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นหุ้นส่วน หรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วน หรือบริษัทที่รับสัมปทาน หรือเข้าเป็นคู่สัญญาในลักษณะดังกล่าว เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการ หรือดูแลกิจการใดเข้าไปมีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่น เนื่องด้วยกิจการนั้นเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

2.คดีทุจริตปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทยให้กับกลุ่มกฤษดามหานคร ซึ่ง อสส.เป็นโจทก์ฟ้องทักษิณ จำเลยที่ 1 กับพวก รวม 27 คน ​ข้อหาเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใดเข้าไปมีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่น ร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตหรือโดยมิชอบ เป็นกรรมการผู้จัดการหรือบุคคลใด ซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินการของธนาคารกรุงไทย ร่วมกันกระทำผิดหน้าที่ของตนโดยทุจริต จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของธนาคารกรุงไทยและประชาชน

ทั้งนี้ ทาง อสส.มีมติยกเลิกคำสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราวของทั้งสองคดีก่อนหน้านี้ พร้อมมีคำสั่งให้มีการดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปโดยไม่ต้องกระทำต่อหน้าจำเลย ซึ่งพนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษและพนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตได้ดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเรียบร้อยแล้ว

แน่นอนว่าตามขั้นตอนแล้วถือเป็นเรื่องที่ถูกต้องเหมาะสมกับการดำเนินการให้สอดคล้องกับกฎหมายใหม่ด้วยการรื้อ 2 คดีนี้ขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง แต่อีกด้านหนึ่งได้เกิดคำถามตามมาว่าการขยับของ อสส.อย่างรวดเร็วนี้มีการรับสัญญาณจากไหนหรือไม่

ดังจะเห็นจากการขยับของ อสส.ที่รวดเร็วฉับไว หลังจาก พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีผลบังคับใช้ไปเมื่อปลายเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา

สอดรับกับท่าทีของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เมื่อ สมชาย แสวงการ อดีตโฆษกกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวออกมาชี้เป้าว่า ขณะนี้มีคดีของทักษิณ 4 คดี ที่ถูกแช่แข็งและอยู่ในข่ายพิจารณาคดีลับหลังตามกฎหมายใหม่

จากนี้จึงต้องรอดูว่าอีก 2 คดีที่เหลือทั้งคดีทุจริตปล่อยกู้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) ให้รัฐบาลเมียนมาวงเงิน 4,000 ล้านบาท และคดีทุจริตโครงการออกสลากพิเศษเลขท้าย 2 และ 3 ตัว (หวยบนดิน) จะมีการรื้อขึ้นมาพิจารณาเร็วๆ นี้หรือไม่

การหยิบยกคดีของอดีตนายกฯ ขึ้นมาพิจารณาลับหลัง อีกด้านจึงถูกมองว่าเป็นการส่งสัญญาณกดดันไม่ให้ขั้วการเมืองเก่าออกมาเคลื่อนไหวสร้างความปั่นป่วนในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญนับจากนี้ไปจนถึงการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น

คล้ายกับที่เคยใช้เรื่องคดีที่ติดตัวของบรรดาแกนนำ กลุ่มเคลื่อนไหวทั้งหลายมาสกัดไม่ให้กลุ่มดังกล่าวออกมา ก่อกวนสร้างความปั่นป่วนให้กับ คสช.ในช่วงเวลาที่ผ่านมา

ทางด้าน วิญญัติ ชาติมนตรี เลขาธิการสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิและเสรีภาพออกมาเปรียบเทียบความรวดเร็วของการพิจารณาคดีนี้กับคดีของ กปปส. ที่ผ่านมา 3 ปี 4 เดือน นับจากส่งฟ้องผู้ต้องหาชุดแรก เมื่อวันที่ 21 พ.ค. 2557 แต่คดียังไม่คืบหน้า 

ไม่เพียงแต่คดีของอดีตนายกฯ แต่ยังรวมไปถึงคดีของ พานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายอดีตนายกฯ ทักษิณ ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มีหมายเรียกให้มารับทราบข้อหาร่วมกันฟอกเงิน กรณีผู้บริหารธนาคารกรุงไทยอนุมัติเงินกู้บริษัท กฤษดามหานคร

รวมทั้งอีกหลายๆ คดี ทั้งที่เกี่ยวข้องกับคนในรัฐบาลเพื่อไทยที่จ่อคิวรอการพิจารณา ซึ่งจะเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้บรรดาอดีต สส. ตลอดจนสมาชิกพรรคเพื่อไทยต้องคิดหนักกับการจะออกมาเคลื่อนไหวใดๆ ในช่วงนับจากนี้ 

ท่ามกลางกระแสเรียกร้องจากหลายฝ่ายให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)​ เร่งปลดล็อกคำสั่งเปิดให้พรรคการเมืองเคลื่อนไหวเตรียมตัวเข้าสู่สนามเลือกตั้ง

การขึงพืดเพื่อไทยจึงอาจเป็นอีกหนึ่งในมาตรการสกัดการเคลื่อนไหว แม้จะสุ่มเสี่ยงเกิดแรงกดดันที่อัดแน่นจนปะทุออกมาในอนาคตก็ตาม