posttoday

ยิ่งอุ้มยิ่งเสื่อม

22 พฤศจิกายน 2560

ชัดเจนแล้วว่าสัดส่วน "ครม.ประยุทธ์ 5" รอบนี้มี "ทหาร" ออกมากกว่าเข้า

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

ชัดเจนแล้วว่าสัดส่วน "ครม.ประยุทธ์ 5" รอบนี้มี "ทหาร" ออกมากกว่าเข้า

จากคำชี้แจงล่าสุดของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่พยายามแบ่งรับแบ่งสู้ว่าไม่เคยคิดถึงสัดส่วน ก่อนตบท้ายว่า "ทำไมรังเกียจทหารนักหรืออย่างไร"

"ส่วนตัวคิดว่าตั้งใครไปก็อาจจะมีคนที่พอใจและไม่พอใจ แต่สิ่งที่ทำคิดว่าทุกคนต้องการ แต่เอาเป็นว่าต่อจากนี้ไปผมจะปราบทุจริตให้มากที่สุด เจ้าหน้าที่ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง วางพื้นฐานประเทศให้ได้ อะไรที่เริ่มต้น ได้ก็ต้องเริ่มต้น และผมจะมอบนโยบายให้ไปสร้างการรับรู้ใหม่"

ทว่า ในความเป็นจริง "เป้าใหญ่" ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงการทำงาน และเข้าไปเกี่ยวพันกับเรื่องร้อนในหลายประเด็นก็ยังไม่ถูกปรับพ้นเก้าอี้อย่างที่หลายฝ่ายออกมาเรียกร้อง

ยิ่งตอกย้ำข้อกังขาเรื่องเห็น แก่พวกพ้องมากกว่าผลประโยชน์ส่วนรวม

ก่อนหน้านี้ในช่วงฝุ่นยังไม่หายตลบ พล.อ.ประยุทธ์ ออกมายืนยันว่า 2 พี่น้อง บูรพาพยัคฆ์ ทั้ง บิ๊กป้อม- วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม และ บิ๊กป๊อก-พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ยังอยู่ในตำแหน่งเหมือนเดิมไม่ได้ถูกปรับ ตามกระแสเรียกร้อง

แม้หลายฝ่ายจะตั้งความหวังว่า ครม.ประยุทธ์ 5 จะถือเป็นการจัดทัพปรับเปลี่ยนตำแหน่งสำคัญ ด้วยการดึงบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ และประสบการณ์ตรงสายงานที่รับผิดชอบ มารับหน้าที่รัฐมนตรีในกระทรวงหลักๆ ทดแทน "บิ๊กทหาร" ที่นั่งบัญชาการอยู่ก่อนหน้านี้

เมื่อสถานการณ์ในปัจจุบันหลังรัฐบาล คสช.บริหารงานมา 3 ปีกว่า ผลงานที่หลายฝ่ายเคยคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นกลับยังไม่เป็นไปตามเป้า โดยเฉพาะเรื่อง "ปฏิรูป" และ "ปรองดอง"

ซ้ำเติมด้วยปัญหาเศรษฐกิจทั้งภาพใหญ่ ไล่มาจนถึงปัญหาปากท้อง ค่าครองชีพ ที่พุ่งสูงขึ้น สวนทางกับราคาพืชผลการเกษตรที่ตกต่ำจนชาวนา ชาวสวน ตั้งท่าออกมาชุมนุมเคลื่อนไหวหลายรอบ

แต่การปรับ ครม.หลายครั้งที่ผ่านมา "รัฐมนตรี" ที่คิดว่าควรจะถูกปรับออก เพื่อหาคนเข้ามาทำหน้าที่แทนกลับไม่ถูกปรับออก มากที่สุดก็แค่ โยกย้ายสลับสับเปลี่ยนเก้าอี้กันเอง

ท่ามกลางเหตุผลที่ชวนให้คิดว่าเป็นเพราะสายสัมพันธ์อันแนบแน่นกับ พล.อ.ประยุทธ์ จนไม่อาจตัดกันขาด จำต้องรักษาสัมพันธ์ให้อยู่จนจบโรดแมปที่วางไว้

เพื่อไม่ให้เกิดแรงกระเพื่อม หรือรอยร้าวที่จะบานปลายไปสู่ปัญหารุนแรงในอนาคตที่ยากเกินจะควบคุม

ยิ่งในวันที่ "พันธมิตร" ที่เคยสนับสนุนเริ่มร่อยหรอลงไปเรื่อยๆ การผลักมิตรไปเป็นศัตรูย่อมไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก ยิ่งในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญก่อนการก้าวลงจากอำนาจเปิดให้มีการเลือกตั้ง

แต่แน่นอนว่า "ทางเลือก" นี้ย่อมนำมาสู่แรงกดดันที่รุมเร้า พล.อ.ประยุทธ์ ในวันที่คะแนนนิยมกำลังลดน้อยถอยลงจากเดิมมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยข้อครหาการอุ้มพวกพ้องมากกว่าการพิจารณาตามความ เหมาะสม

เริ่มตั้งแต่ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ที่เป็นเป้าถูกเพ่งเล็ง แถมผลโพลยังระบุให้เป็นกระทรวงที่ควรจะมีการปรับ ครม.มากที่สุด สอดรับกับสถานการณ์ราคาพืชผลการเกษตรที่สร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านมาอย่างต่อเนื่อง

แม้อีกด้านจะมีเกษตรกรจำนวนหนึ่งออกมาให้กำลังใจเรียกร้องไม่ให้มีการปรับ พล.อ.ฉัตรชัย ก็ตาม

แต่สุดท้าย ด้วยสัมพันธ์อัน แนบแน่นกับ พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้ เชื่อว่า พล.อ.ฉัตรชัย ยังจะคงนั่งเป็นรัฐมนตรีอยู่ใน ครม.ประยุทธ์ 5 แม้อาจจะมีสลับสับเปลี่ยนที่นั่งเท่านั้น ไม่ต่างจากก่อนหน้านี้เมื่อครั้งนั่งเป็น รมว.พาณิชย์ ที่เคยใช้สูตรนี้เพื่อลดแรงกดดัน

ทั้งที่สองกระทรวงนี้ถือเป็น กระทรวงสำคัญทางเศรษฐกิจ ที่ส่ง ผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง ควรจะมีบุคคลที่มีความรู้ความสามารถตรงสายงานมาดูแลรับผิดชอบเพื่อ ให้งานทุกอย่างเดินหน้าไปอย่างมีประสิทธิภาพ

ถัดมาที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ที่นับเป็นพี่น้องที่แนบแน่นกับ พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้สามารถรั้งเก้าอี้สำคัญเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

ดังจะเห็นว่าที่ผ่านมากระทรวงมหาดไทยเข้าไปพัวพันกับเรื่องร้องเรียนอยู่ไม่น้อย ทั้งกรณี ครม.อนุมัติ ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) จัดหาเครื่องตรวจจับความเร็วแบบพกพา จำนวน 849 เครื่อง เป็นเงิน 573 ล้านบาท ซึ่งถูกมองว่าใช้งบประมาณกลางที่ผิดวินัยการเงิน การคลัง และวิธีการงบประมาณ

หลังกระแสวิพากษ์วิจารณ์ พล.อ.อนุพงษ์ ได้ให้ทาง ปภ.ไปพิจารณาและทบทวนถึงความจำเป็นในการจัดซื้อ รวมถึงชี้แจงต่อสาธารณชนถึงเหตุผลการจัดซื้อเครื่องตรวจจับความเร็วแล้ว

รวมทั้งกรณีที่ก่อนหน้านี้ ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของ พล.อ.อนุพงษ์ กรณีอนุมัติให้บริษัทเอกชนที่มีทายาทของบริษัท กระทิงแดง เป็นผู้บริหารให้เข้าไปใช้ประโยชน์ที่ดินสาธารณะ ชุมชนโคกห้วยเม็ก จ.ขอนแก่น

ทั้งหมดล้วนแต่ปรากฏสัญญาณการปกป้องพวกพ้อง ซึ่งสุดท้ายย่อมวนกลับมาเป็นแรงกดดันฉุดความเชื่อมั่น พล.อ.ประยุทธ์ และ คสช.มากขึ้นเรื่อยๆ n