posttoday

ยิ่งลักษณ์หนีคดี เพื่อไทยระส่ำ

28 สิงหาคม 2560

การไม่มาฟังคำพิพากษาของยิ่งลักษณ์ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือและคะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทยอย่างมีนัยสำคัญ​

โดย...ธนพล บางยี่ขัน

หนึ่งในจุดเปลี่ยนทางการเมืองสำคัญเวลานี้น่าจะอยู่ที่การตัดสินใจไม่เดินทางมารับฟังคำพิพากษาของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมา ท่ามกลางกระแสข่าวเจ้าตัวได้เดินทางหลบหนีออกจากประเทศ

จากกระแสข่าวก่อนหน้านี้ระบุว่า ยิ่งลักษณ์ ได้เดินทางไปประเทศกัมพูชาตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค. โดยใช้ช่องทางธรรมชาติ ก่อนจะขึ้นเครื่องบินส่วนตัวเดินทางไปประเทศสิงคโปร์ในช่วงเวลา 21.00 น. เพื่อไปพบอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ก่อนจะเดินทางต่อไปยังเมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

ในวันดังกล่าวทนายความได้ยื่นหนังสือแจ้งต่อศาลว่า อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ป่วยด้วยโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน มีอาการวิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรง และขอเลื่อนการฟังคำพิพากษา

แต่ศาลไม่อนุญาตและมีคำสั่งให้ออกหมายจับ พร้อมริบเงินประกันตัว 30 ล้านบาทนั้น เนื่องจากไม่เชื่อว่าจำเลยป่วยถึงขนาดมาศาลไม่ได้ พฤติการณ์มีเหตุอันควรเชื่อว่าจำเลยหลบหนี พร้อมให้เลื่อนไปฟังคำพิพากษาไปในวันที่ 27 ก.ย. 2560 เวลา 09.00 น.​

ปรากฏการณ์ดังกล่าวส่งผลต่อความน่าเชื่อถือและคะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทยอย่างมีนัยสำคัญ​

ประการแรก ในแง่ความสง่างามมองพรรคเพื่อไทยที่ประกาศต่อสู้เพื่อความถูกต้องและพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของทั้งตัวเอง และแนวนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่ถือเป็นต้นตำรับของจำนำข้าว

ดังจะเห็นจากที่อดีตนายกฯ ออกมาประกาศชัดเจนตั้งแต่แรกว่าจะไม่หนีคดีหลบหนีไปไหน และจะต่อสู้จนถึงที่สุด เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง

จุดยืนดังกล่าว พรรคเพื่อไทยนำมาเป็นประเด็นเคลื่อนไหวในช่วงที่ผ่านมา ตอกย้ำจุดยืนการต่อสู้กับเผด็จการทุกรูปแบบ โดยไม่ยอมโอนอ่อนไปกับการกลั่นแกล้งด้วยการหลบหนีไปไหน

นี่เป็นจุดแข็งสำคัญที่แกนนำพรรคเพื่อไทยหยิบยกมาเคลื่อนไหว เชิดชูยิ่งลักษณ์ ให้เป็นวีรสตรี เป็นแกนนำต่อสู้กับเผด็จการ

ถึงขั้นกลุ่ม สส. สตรีพรรคเพื่อไทย ออกมาขนานนามให้เป็นอองซานซูจี ของเมืองไทยกับการยืนหยัดต่อสู้กับความไม่ถูกต้องและไม่หลบหนีไปไหน

ประการที่สอง ด้วยความเป็นแกนนำของพรรคเพื่อไทยที่ยืนหยัดต่อสู้ตั้งแต่สมัยถูกรัฐประหารจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไม่ยอมโอนอ่อนหรือหลบหนีไปไหนทั้งที่มีโอกาสตั้งแต่แรก

นี่จึงกลายเป็นจุดแข็งที่หลอมรวมพรรคเพื่อไทยให้ยังเป็นเป็นปึกแผ่นเหนียวแน่น ไม่แตกกระสานซ่านเซ็นไปไหนต่อไหน ทั้งที่มีความพยายามจากหลายฝ่ายทั้งแซะ ทั้งบอนไซ เพื่อไทย

ยังไม่รวมกับการกดดันบรรดาแกนนำหลายระลอกทั้งด้วยการเรียกมาปรับทัศนคติ และอีกหลายคนที่ยังมีคดีความติดตัวต้องเก็บเนื้อเก็บตัวไม่ออกมาเคลื่อนไหวท้าทายอำนาจ คสช.ในช่วงเวลาที่ผ่านมา

ประการที่สาม การยืนหยัดถึงความถูกต้องว่านโยบายจำนำข้าวเป็นนโยบายที่มีประโยชน์ต่อชาวนา แม้จะมีการรั่วไหล หรือปัญหาในขั้นตอนการปฏิบัติงาน แต่ผลประโยชน์ก็ยังตกอยู่กับชาวนาที่ได้รับเงินจากโครงการรับจำนำข้าว ​แม้จะต้องแลกมากับความเสียหายหลายแสนล้านบาท

การต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมที่ผ่านมา จึงถือเป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับนโยบายจำนำข้าวที่ถูกโจมตีมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกับแผลใหญ่เรื่องการสร้างความเสียหายในงบประมาณหลายแสนล้านบาท และผลประโยชน์ส่วนใหญ่แทนที่จะตกไปอยู่ที่ชาวนาอย่างที่ตั้งใจกลับไปอยู่ที่โรงสี หรือนายทุน

ถึงขั้นที่ประกาศหากเป็นรัฐบาลก็จะปัดฝุ่นนำแนวนโยบายจำนำข้าวมาใช้ใหม่

สุดท้าย เมื่ออดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ตัดสินใจหนีหลังการต่อสู้ที่ต่อเนื่องมายาวนาน ย่อมทำให้จุดแข็งที่พยายามทำมาทั้งหมดต้องพังครืนลงไป อย่างน่าเสียดาย

เริ่มตั้งแต่ ความสง่างามในถนนการเมืองที่สุดท้าย อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ก็กลายเป็นแกนนำอีกคนหนึ่งของพรรคที่เปลี่ยนสถานะจากวีรบุรุษ กลายเป็นนักโทษหลบหนีคดี

ในแง่แกนนำพรรรคที่จะมารับไม้ต่อทำหน้าที่คุมบังเหียนพรรคลงสนามเลือกตั้ง ซึ่งไม่ว่าผลของคดีจะออกมาอย่างไร อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ที่ถูกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ถอดถอนต้องสิ้นสภาพทางการเมือง 5 ปี ย่อมไม่ใช่แกนนำที่จะมีบทบาทอยู่เบื้องหน้าได้

แต่ในแง่จิตวิทยาและยุทธศาสตร์การต่อสู้เชื่อว่าหากได้อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ซึ่งต่อสู้กับ คสช. มาตลอด น่าจะสามารถสร้างขวัญและกำลังใจให้กับบรรดาแกนนำพรรค และฐานเสียงให้กลับมาสนับสนุนพรรคเพื่อไทยเหมือนในยุครุ่งเรืองที่ผ่านมา

ด้วยการใช้กลยุทธ์ดึงจุดแข็งเรื่องการต่อสู้กับเผด็จการและปมเรื่องการ “ถูกกลั่นแกล้ง” ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เป็นจุดขายเรียกคะแนนสงสาร เรียกคะแนนเสียงให้พรรคเพื่อไทย ไม่ว่าใครจะเป็นแกนนำพรรค

อีกด้านหนึ่งเรื่องนโยบายสำคัญอย่างเรื่องโครงการรับจำนำข้าวที่ใช้หาเสียงโกยคะแนนจนชนะเลือกตั้งถล่มทลายรอบที่ผ่านมา เวลานี้ในส่วนของคดียิ่งลักษณ์ อาจจะยังไม่เห็นผลชัดเพราะยังไม่มีคำพิพากษา

แต่ในส่วนของคดีระบายข้าวที่สร้างความเสียหายนั้น บุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ มือปฏิบัติในโครงการนี้ต้องโทษจำคุก 42 ปี ยังไม่รวมกับคนอื่นๆ

ทั้งหมดนี้ล้วนแต่ส่งผลสร้างความระส่ำให้กับพรรคเพื่อไทยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง