สมชาย รอดคดี เพิ่มแรงเหวี่ยง ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์
กระแสของ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี กำลังมาแรงจนถูกจับตาว่าเป็นอีกหนึ่งใน “แคนดิเดต” หัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่
กระแสของ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี กำลังมาแรงจนถูกจับตาว่าเป็นอีกหนึ่งใน “แคนดิเดต” หัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ ท่ามกลางเสียงเชียร์ให้เป็นคนนำทัพลงสนามเลือกตั้ง 2561
ทันทีที่หลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ยกฟ้อง จากกรณีสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551 เพื่อเปิดทางให้ สมชาย นำคณะรัฐมนตรีเข้าไปแถลงนโยบายต่อรัฐสภา
จากคำพิพากษาระบุว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมิใช่การชุมนุมโดยสงบ เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ต้องปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ที่ติดอยู่ในรัฐสภา มีการปฏิบัติตามขั้นตอน จึงจำเป็นต้องใช้แก๊สนำตาช่วยเหลือแม้ผลออกมาจะปรากฏว่ามีผู้เสียชีวิต แต่จำเลยก็ไม่ได้มีเจตนาจะทำให้เกิดการบาดเจ็บเสียชีวิต
ดังนั้น สมชาย และจำเลยอีก 3 คนได้แก่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีต ผบช.น. จึงไม่ได้มีการกระทำความผิดตามฟ้อง ฐานความผิดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
ปลดล็อกให้ สมชาย กลายเป็นคนปลอดคดี พร้อมที่จะหวนคืนสนามการเมืองได้อีกรอบ
อีกด้านจึงเป็นการสั่นคลอนสถานะของ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย แคนดิเดตคนแรกซึ่งได้รับไฟเขียวจากคนต่างแดนเป็นที่เรียบร้อย
แม้ที่ผ่านมาเสียงภายในพรรคเพื่อไทย สนับสนุน คุณหญิงสุดารัตน์ ไปทั้งหมด
ดังจะเห็นว่าพลันที่คำพิพากษาออกมาบรรดากองเชียร์ฝั่ง “ชินวัตร” รวมไปถึงกลุ่มที่ไม่สนับสนุน คุณหญิงสุดารัตน์ จึงประสานกำลังปลุกกระแสดัน สมชาย มารับไม้ต่อคุมทัพเพื่อไทยรอบใหม่
แต่ในความเป็นจริงเส้นทางของ สมชาย อาจไม่โรยด้วยกลีบกุหลาบ อย่างที่คาดการณ์ เริ่มตั้งแต่กระแสคัดค้านทั้งจากภายในและภายนอกพรรค
เมื่อภายในพรรคเพื่อไทยเคยมีความคิดที่จะปรับภาพลักษณ์ครั้งใหญ่ แยกพรรคเพื่อไทย ออกจากตระกูลชินวัตร ด้วยเหตุผลเพื่อทำให้พรรคการเมืองก้าวไปสู่ความเป็นสถาบัน ลบภาพลักษณ์และข้อครหาเดิมๆ เรื่องความเป็นพรรคของครอบครัวที่รวมศูนย์การตัดสินใจไว้ที่คนกลุ่มเดียว
หลังการเปลี่ยนผ่านจาก ไทยรักไทย พลังประชาชน มาจนถึง เพื่อไทย คนที่มาขัดตาทัพ หลัง ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คือ สมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี จากนั้นยังวนเวียนอยู่ที่คนในครอบครัว ไล่มาตั้งแต่ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในฐานะ น้องเขย และยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว ที่เป็นโคลนนิ่ง ทักษิณ แบบตัวจริงเสียงจริง
ยังไม่รวมกับพี่ๆ น้องๆ ชินวัตร ที่คอยทำงานอยู่เบื้องหลังเป็นทีมสนับสนุนในส่วนต่างๆ
กระแสเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแยกความเป็น “ชินวัตร” ออกจาก “เพื่อไทย” มีมาอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่สามารถทำได้จริงในทางปฏิบัติ
ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสให้พรรคเพื่อไทยได้ปรับภาพลักษณ์ใหม่ อย่างจริงจัง สอดรับกับความเป็นห่วงกลัวการถูกเพ่งเล็งจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
อีกด้านหนึ่ง การวางตัวน้องเขย ซึ่งมีประสบการณ์การทำงาน และยังได้อาศัยบารมีอดีตนายกฯ ทักษิณ มาเรียกคะแนนฐานเสียงที่เริ่มเสื่อมคลายไม่เหนียวแน่นเหมือนช่วงหลายปีก่อน อาจเป็นทางเลือกที่ดี ความคิดที่ดี
แต่บางฝ่ายเห็นว่าการแปะป้ายเป็นคนของชินวัตร อาจยิ่งปลุกกระแสต่อต้าน มากกว่าจะสนับสนุนในบางพื้นที่ อันจะกระทบต่อคะแนนเสียงโดยรวม
อย่าลืมว่าบาดแผลเรื่องสลายการชุมนุมแม้ศาลจะยกฟ้องแต่ก็ยังเป็นเป้าให้ถูกหยิบยกไปโจมตีในอนาคต เมื่อการสลายการชุมนุมครั้งนั้น ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และผู้บาดเจ็บ 471 ราย
การยกฟ้อง สมชาย ด้านหนึ่งย่อมเป็นผลดี แต่อีกด้านย่อมนำไปสู่แรงเหวี่ยงสะท้อนกลับ ยิ่งหากยังพยายามผลักดัน สมชาย กลับมาลงสนามเลือกตั้งอันจะสะท้อนให้เห็นถึงการส่งสัญญาณสู้รอบใหม่ของตระกูลชินวัตร
หลังจากก่อนหน้าคนในตระกูลไล่มาตั้งแต่ ทักษิณ จะใช้ยุทธวิธีเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ออกมาเคลื่อนไหวท้าตี ท้าต่อย แต่เลือกที่จะอยู่เงียบๆ ออกมาแสดงความคิดความเห็นเพียงบางครั้งบางคราว
อันจะยิ่งนำไปสู่การเพ่งเล็งมากขึ้น แถมอาจจะไม่เป็นผลดีต่อ ยิ่งลักษ์ ชินวัตร ที่มีคดีรุมเร้า และมีกำหนดนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 25 ส.ค.นี้ รวมไปถึงการติดตามยึดทรัพย์เพื่อชดใช้ค่าเสียหาย จากโครงการรับจำนำข้าว 3.5 หมื่นล้านบาท
ที่สำคัญ ความพยายามผลักดัน สมชาย มาเป็นแคนดิเดตคนใหม่ แข่งกับ สุดารัตน์ ย่อมสุ่มเสี่ยงจะขยายรอยร้าวภายในพรรคเพื่อไทยให้กลับมาลุกลามบานปลาย
สร้างความอ่อนแอที่มีทั้งเสียงสนับสนุนทั้งสองฝ่าย จนน่าเป็นห่วงว่าจะเสียแชมป์เลือกตั้ง ในภาวะที่ระบบกลไกเลือกตั้งใหม่ถูกมองว่าไม่เอื้อกับพรรคการเมืองเก่า
ท่ามกลางกระแสข่าวความพยายามจับมือฟอร์มทีมตั้งพรรคขนาดกลาง ขนาดเล็กของหลายกลุ่ม รวมไปถึงกระแสข่าวการตั้งพรรคทหาร ซึ่งล้วนแต่ไม่เป็นผลดีต่อพรรคเพื่อไทย