โยกย้ายข้าราชการ สะท้อน ‘ปฏิรูป’ เหลว
ปัญหาในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการนับเป็นอีกงานเร่งด่วนที่รัฐบาลคสช. หมายมั่นปั้นมือจะเข้ามา “ปฏิรูป”
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
ปัญหาในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการนับเป็นอีกงานเร่งด่วนที่รัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หมายมั่นปั้นมือจะเข้ามา “ปฏิรูป” วางกลไกในการแต่งตั้งโยกย้าย โดยคำนึงถึงระบบคุณธรรมขจัดการเล่นพรรคเล่นพวก รวมถึงการซื้อขายตำแหน่ง
แม้เบื้องต้นจะเห็นความความตั้งใจของรัฐบาล คสช. ตลอดจนแม่น้ำสายต่างๆ ช่วยกันวางกฎกติกาเพื่อตีกรอบการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการให้เป็นไปในทิศทางที่ควรจะเป็น แต่ในทางปฏิบัติ การแต่งตั้งโยกย้ายในยุครัฐบาล คสช.กลับถูกวิพากษ์วิจารณ์ไม่น้อยไปกว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
ไล่มาตั้งแต่การแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจซึ่งมีกระแสข่าวการวิ่งเต้น ซื้อขายตำแหน่ง อยู่หลายรอบ
แทนที่จะมีการขยายผลติดตามไต่สวนหาข้อเท็จจริง หรือนำคนผิดมาลงโทษ อย่างที่ควรจะเป็น เพื่อทำตัวอย่างที่ถูกต้องให้เป็นบรรทัดฐานป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำอีกในอนาคต
ตรงกันข้ามทางเจ้าหน้าที่กลับใช้ช่องทางการฟ้องร้องกรณีสร้างความเสียหายเสื่อมเสียชื่อเสียงกับบุคคลที่ออกมาเปิดเผยข้อมูล ทั้งที่บุคคลเหล่านั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นคนในแม่น้ำ 5 สาย ของ คสช.ที่แต่งตั้งขึ้นมาจัดการแก้ไขปัญหาในแวดวงตำรวจ
ไม่ว่าจะเป็น พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ซึ่งเคยเป็นประธานคณะกรรมาธิการปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม กับกรณีเผยแพร่ข้อความทางแชตไลน์เรื่องการซื้อขายตำแหน่งเพื่อให้ช่วยตรวจสอบ
มาจนถึง วิทยา แก้วภราดัย อดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ที่ออกมาเปิดเผยเรื่องการวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่งตำรวจ ระดับผู้กำกับการมีการวิ่งเต้นเงินสูงตั้งแต่ 5 ล้าน ถึง 7 ล้านไปแล้ว ส่วนระดับสารวัตรราคาอยู่ที่ 1.5-2 ล้านบาท
มาจนถึงการแต่งตั้งโยกย้ายล่าสุดที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก จากเดิมที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกมาส่งสัญญาณสกัดการแต่งตั้งโยกย้ายแบบข้ามห้วยเพื่อให้เป็นแนวปฏิบัติ
ทว่า เมื่อวันอังคารที่ 1 ส.ค. ครม.มีมติแต่งตั้ง จรินทร์ จักกะพาก อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ข้ามห้วยไปดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงแรงงาน ม.ล.ปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน ที่จะเกษียณอายุราชการ
อีกด้านหนึ่งก่อนหน้านี้ ในส่วนของ ธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เคยถูกโยกให้ไปเป็นผู้ตรวจราชการพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ท่ามกลางคำถามถึงความถูกต้องเหมาะสมและเหตุผลในการตัดสินใจ
ทำให้ วัชระ เพชรทอง อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาระบุว่า เป็นการใช้อำนาจอย่างมีธรรมาภิบาลตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 หรือไม่ แม้รัฐธรรมนูญเขียนไว้สวยหรูว่า ให้ใช้ระบบคุณธรรมในการแต่งตั้ง โยกย้ายข้าราชการ แต่เวลาปฏิบัติใครไม่ตอบสนองผู้มีอำนาจ ก็ต้องกระเด็นออกจากตำแหน่ง
แต่ในส่วนที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นพิเศษคือตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) โดย ครม.ได้อนุมัติแต่งตั้ง พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนและแผนกลาโหม ข้ามห้วยมาเป็นเลขาธิการ สมช. คนใหม่ แทน พล.อ.ทวีป เนตรนิยม ที่จะเกษียณอายุในเดือน ก.ย.นี้
ก่อนหน้านี้มีความพยายามผลักดันลูกหม้อใน สมช.เข้ามารับหน้าที่กุมบังเหียนดูแลหน่วยงานสำคัญควบคุมดูแลทิศทางด้านความมั่นคงของประเทศ
ไม่ต่างจากรอบที่แล้วเมื่อครั้ง อนุสิษฐ คุณากร เลขาฯ สมช. คนก่อนที่เกษียณอายุ ซึ่งเคยมีความคิดจะผลักดันคนในมารับไม้ต่อแต่สุดท้ายก็ตั้ง พล.อ.ทวีป ข้ามห้วยจาก ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (ผบ.นทพ.) มาเป็น เลขาฯ สมช.จนถึงปัจจุบัน
ตอกย้ำข้อครหาที่มองว่าตำแหน่งเลขาธิการ สมช. เสมือนเป็นตำแหน่งที่พักไว้ปลอบใจคนอกหักพลาดเก้าอี้จากในกองทัพหรือไม่อาจเกลี่ยที่นั่งภายในได้ลงตัว
แทนที่จะปล่อยให้เป็นกลไกภายในกองค์กรที่จะใช้คนที่มีประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถที่สั่งสมมา อันจะได้ทั้งขวัญกำลังใจจากคนปฏิบัติงาน และทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในทางปฏิบัติ
หากจำได้ ตำแหน่งเลขาฯ สมช. ของ ถวิล เปลี่ยนศรี ที่ถูก ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีขณะนั้น สั่งโยกไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี สุดท้าย ศาลปกครองมีคำสั่งให้ถวิลกลับเข้าดำรงตำแหน่งเลขาฯ สมช.
แถมต่อมาศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้ อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ต้องสิ้นสภาพนายกฯ รวมถึง ครม.ทุกคนที่ร่วมประชุม และลงมติโยกย้ายถวิล เพราะเป็นการก้าวก่าย แทรกแซง แต่งตั้ง โยกย้าย เอื้อพวกพ้อง
การแต่งตั้งโยกย้ายในช่วงนี้ของรัฐบาล คสช.จึงสะท้อนให้เห็นปัญหาที่ไม่ได้แตกต่างจากรัฐบาลก่อน
ทั้งที่รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 76 วรรคสอง ระบุว่า “รัฐพึงดำเนินการให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานของบุคคลของหน่วยงานของรัฐให้เป็นไปตามระบบคุณธรรม โดยกฎหมายดังกล่าว อย่างน้อยต้องมีมาตรการป้องกันมิให้ผู้ใดใช้อำนาจ หรือกระทำการโดยมิชอบที่เป็นการก้าวก่าย แทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ หรือกระบวนการแต่งตั้งหรือการพิจารณาความดีความชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ”
ปรากฏการณ์โยกย้ายข้าราชการเวลานี้ สะท้อนให้เห็นทิศทางและแนวโน้มการปฏิรูปที่ดูห่างไกลเป้าหมายมากขึ้นทุกที