แก้น้ำท่วม พิสูจน์ฝีมือ ‘ประยุทธ์’ โอกาสซื้อใจคนอีสาน
วิกฤตน้ำท่วมในพื้นที่ จ.สกลนคร ซึ่งสร้างความเสียหายรุนแรงที่เกิดขึ้น นับเป็นอีกโอกาสให้ นายกรัฐมนตรี ได้พิสูจน์ความสามารถในการจัดการแก้ปัญหา และเยียวยาความเดือดร้อนชาวบ้าน
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
วิกฤตน้ำท่วมในพื้นที่ จ.สกลนคร ซึ่งสร้างความเสียหายรุนแรงที่เกิดขึ้น นับเป็นอีกโอกาสให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้พิสูจน์ความสามารถในการจัดการแก้ปัญหา และเยียวยาความเดือดร้อนชาวบ้าน
ถือเป็นเดิมพันครั้งสำคัญของรัฐบาล คสช. และ พล.อ.ประยุทธ์ ที่จะส่งผลต่อคะแนนนิยมในพื้นที่ภาคอีสาน ที่ยังไม่รู้ตอนจบว่าสุดท้ายแล้วผลลัพธ์จะออกมาอย่างไร
ต้องยอมรับว่าสถานการณ์น้ำท่วมรอบนี้ถือเป็นครั้งที่หนักที่สุดในรอบ 43 ปี นับจากน้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2517 กระทบต่อยานพาหนะ ร้านค้า โรงแรม ที่พักอาศัย โดย ประสาท ตงศิริ อดีตประธานหอการค้าจังหวัดสกลนคร ประเมินความเสียหายเบื้องต้นมากกว่า 100 ล้านบาท
ณ เวลานี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือการเยียวยาความเดือดร้อนทั้งเฉพาะหน้าและในช่วงฟื้นฟูสถานการณ์หลังจากนี้ มากกว่าการปัดความรับผิดชอบโยนความผิดระหว่างหน่วยงานที่ปล่อยให้เกิดความเสียหายรุนแรงโดยไม่มีมาตรการแจ้งเตือนหรือเฝ้าระวังได้อย่างทันท่วงที
ส่วนหนึ่งเพราะสภาพภูมิศาสตร์ที่มีการก่อสร้างกีดขวางทางน้ำลอดสะพาน เมื่อฝนตกหนักต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 26 ก.ค. จนกระทั่งน้ำทะลักเข้าท่วมเมืองวันที่ 28 ก.ค. อันคาดว่าจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 สัปดาห์ในการแก้ไขปัญหา ที่จำเป็นจะต้องเร่งดำเนินการ
เบื้องต้นจากการประชุมคณะกรรมการกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งมี ออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานได้พิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในภาคอีสาน
รับทราบรายงานสถานการณ์ จ่ายเงินเยียวยาช่วยเหลือครอบครัวละ 5,000 บาท โดยมีครอบครัวที่เสียหายประมาณ 7,000 ครัวเรือน
โดยผู้เสียชีวิตตามหลักเกณฑ์รายละ 5 หมื่นบาท เบื้องต้นมีจำนวน 11 ราย ส่วนกรณีบ้านเรือนเสียหายทั้งหลังจะได้เงินช่วยเหลือประมาณ 2 แสนบาท/หลัง เพื่อใช้เป็นค่าวัสดุก่อสร้าง ส่วนบ้านเรือนที่เสียหายบางส่วนจะพิจารณาช่วยเหลือตามความเป็นจริง
จะเห็นว่าครั้งนี้ ทาง พล.อ.ประยุทธ์ ตัดสินใจเดินทางลงพื้นที่ จ.สกลนครด้วยตนเอง เพื่อตรวจราชการ และปฏิบัติภารกิจ ช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัย รวมทั้งร่วมโครงการบิ๊กคลีนนิ่งเดย์ “ย้อมบ้านล้างเมือง” ที่เขตเทศบาลนครสกลนคร
รวมทั้งเดินทางไปยังจุดติดตั้งสะพานแบลีย์เพื่อตรวจสอบสะพานภายหลังถูกน้ำกัดเซาะ และเดินทางต่อไปยังอ่างเก็บน้ำห้วยทรายขมิ้นเพื่อดูสภาพพื้นที่และการซ่อมแซม รวมถึงการแก้ไขปรับปรุงอ่างเก็บน้ำห้วยทรายขมิ้นที่ถูกน้ำกัดเซาะ
ทั้งหมดถือเป็นการส่งสัญญาณให้เห็นว่ารัฐบาล คสช. ให้ความสำคัญและเอาจริงเอาจังกับการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัย จ.สกลนคร
นัยสำคัญของการลงพื้นที่ครั้งนี้ยังถูกมองว่าเป็นโอกาสให้ทางรัฐบาล คสช. ได้ทำคะแนนซื้อใจชาวบ้านที่กำลังเดือดร้อนอย่างหนัก
ต้องยอมรับว่าพื้นที่ภาคอีสานถือเป็นฐานเสียงสำคัญของรัฐบาลเพื่อไทย และมวลชนคนเสื้อแดง แถมอีกด้านยังถูกมองว่าเป็นมวลชนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับรัฐบาล คสช.
วิกฤตการครั้งนี้จึงเป็นโอกาสให้รัฐบาล คสช.ได้พิสูจน์ความมุ่งมั่นตั้งใจ เยียวยาความเดือดร้อน
แน่นอนว่าโอกาสครั้งนี้มีสองด้าน ด้านหนึ่งถ้ารัฐบาล คสช. เอาจริงเอาจังแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจเข้าไปแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ทันท่วงที ทั้งการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและมาตรการเยียวยาซ่อมแซมความเสียหายในระยะยาวหลังจากน้ำลดลงแล้ว ย่อมได้ใจชาวบ้านที่รู้สึกว่าไม่ถูกทอดทิ้งในยามลำบาก
แม้ที่ผ่านมานโยบายของรัฐบาล คสช. อาจจะไม่เข้าตาโดนใจชาวบ้านในพื้นที่ รวมไปถึงเรื่องหลายเรื่องที่อาจขัดหูขัดตาในสภาวะเศรษฐกิจฝืดเคือง ปัญหาราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำที่ยังไม่อาจแก้ไข
อย่างน้อยการได้รับการเยียวยาปัญหาในช่วงยากลำบาก ย่อมทำให้ความรู้สึกของชาวบ้านในพื้นที่ที่มีต่อรัฐบาลดีขึ้น ยิ่งภายหลังจากรัฐบาลพยายามอัดฉีดเม็ดเงินลงพื้นที่หลายรอบ
จังหวะเดียวกับที่ขั้วอำนาจเก่าเริ่มแตกกระสานซ่านเซ็นถูก “แช่แข็ง” ไม่ให้ออกมาเคลื่อนไหว ความเหนียวแน่นที่เคยชื่นชอบกับผลงานของรัฐบาลในอดีต ย่อมสั่นคลอนและลดน้อยลงไป เมื่อเห็นว่ารัฐบาลใหม่ยังสามารถดูแลชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้นไม่ต่างจากรัฐบาลที่ผ่านมา
แต่อีกด้านหนึ่งหากวิกฤตครั้งนี้ ทางรัฐบาล คสช. ไม่เอาใจใส่ดูแลปล่อยให้เกิดปัญหาในการแก้ไข ทั้งเรื่องความล่าช้า ไม่ทั่วถึง ที่จะเป็นปัญหาในทางปฏิบัติซึ่งรัฐบาลจะต้องระมัดระวัง
หากเกิดปัญหาไม่สามารถเยียวยาบรรเทาความเดือดร้อนได้อย่างที่ชาวบ้านคาดหวัง นี่อาจกลายเป็น “บูเมอแรง” ที่ย้อนกลับมาฉุดรั้งคะแนนนิยมให้ตกต่ำยิ่งกว่าที่ผ่านมา แทนที่จะช่วยทำให้สถานการณ์ดีขึ้นอย่างที่คาดหวัง
ท่ามกลางสถานการณ์ที่อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญกับการประคับประคองเดินหน้าไปตามโรดแมปสู่จุดหมายปลายทางอย่างการเลือกตั้งในปี 2561
คะแนนนิยม และความเชื่อมั่นจากประชาชนจึงเป็นสิ่งสำคัญ ในสถานการณ์เช่นนี้ ซึ่งต้องการความร่วมไม้ร่วมมือจากทุกฝ่าย
ยังไม่รวมกับกระแสข่าวการปลุกปั้นนายกรัฐมนตรีคนนอกหลังการเลือกตั้งที่จำเป็นต้องได้รับเสียงสนับสนุนทั้งในและนอกสภา