posttoday

แม้วเปลี่ยนม้ากลางศึกโกวิทกู้ภาพจงรักภักดี

10 กันยายน 2553

หลังจาก “ทักษิณ ชินวัตร” เคลียร์ความขัดแย้งในเพื่อไทยและชวนให้ทุกสีร่วมปรองดองตามแนวทางของ “ปลอดประสพ สุรัสวดี”

หลังจาก “ทักษิณ ชินวัตร” เคลียร์ความขัดแย้งในเพื่อไทยและชวนให้ทุกสีร่วมปรองดองตามแนวทางของ “ปลอดประสพ สุรัสวดี”

โดย...ทีมข่าวการเมือง

หลังจาก “ทักษิณ ชินวัตร” เคลียร์ความขัดแย้งในเพื่อไทยและชวนให้ทุกสีร่วมปรองดองตามแนวทางของ “ปลอดประสพ สุรัสวดี”

ล่าสุดมีการปรับยุทธวิธีต่อสู้ใหม่ ด้วยการเปลี่ยนม้ากลางศึก รื้อหัวพรรคเพื่อไทยแบบสายฟ้าแลบ

“ยงยุทธ วิชัยดิษฐ” นั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรคขัดตาทัพมา 20 เดือน ตั้งแต่เพื่อไทยยังเป็นวุ้น คราวนี้ลาออกแบบปัจจุบันทันด่วน แม้แต่คนในพรรคก็ตกข่าวกระจุย

แม้วเปลี่ยนม้ากลางศึกโกวิทกู้ภาพจงรักภักดี

หลายครั้งยงยุทธตั้งใจจะลาออก อยากวางมือเต็มทนเพื่อเปิดทางให้ “ตัวจริง” มาทำหน้าที่

แต่ “ทักษิณ” ไม่ให้ออก เพราะกลัวพรรคแตก เนื่องจากบิ๊กเนมหลายคนที่ทักษิณใช้เป็น “ไพ่” ต่างต้องชิงกันเป็นใหญ่ในตำแหน่งหัวหน้าพรรค เพราะมีโอกาสเป็นนายกรัฐมนตรีสูง

ยงยุทธ จึงจำเป็นต้องถ่างขาต่อไป เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งในพรรค ขณะที่นายใหญ่เห็นว่ายังไม่จำเป็นที่จะตั้งหัวหน้าพรรคนอมินีตัวจริง เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาเลือกตั้ง และต้องการให้แกนนำแต่ละมุ้งที่ทะเยอทะยานอยากเป็นนายกฯ ถ่วงดุลกันเองก่อน

อะไรอยู่เบื้องหลังให้ยงยุทธลาออก ทั้งที่ระดับแกนในพรรคเชื่อว่ายงยุทธจะนั่งขัดตาทัพต่อไปจนกว่าจะมีสัญญาณเลือกตั้ง ที่เชื่อว่าประมาณกลางปีหน้า

การที่ยงยุทธลาออก เป็นเพราะทักษิณต้องการปรับยุทธวิธีการต่อสู้ของพรรคเพื่อไทยใหม่ โดยได้วางตัว พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่แทน

ทักษิณต้องการใช้จุดแข็งของ พล.ต.อ.โกวิท ที่มีภาพความจงรักภักดีต่อสถาบัน รับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท จากประวัติการทำงานในการเป็นตำรวจตระเวนชายแดนมายาวนานทั้งชีวิต

พล.ต.อ.โกวิท ไม่ใช่ใครอื่น อยู่ในกลุ่มทักษิณมาก่อนหน้า ได้รับแต่งตั้งเป็น ผบ.ตร. เมื่อปี 2547 ในรัฐบาลทักษิณ เมื่อเกิดการรัฐประหารปี 2549 พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ขณะนั้น ได้สั่งย้าย

พล.ต.อ.โกวิท มาช่วยราชการที่สำนักนายกฯ โดยโยกให้ไปนั่งเป็นปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ พร้อมกับแต่งตั้ง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส รักษาราชการแทน จน พล.ต.อ.โกวิท ต้องสู้ด้วยการฟ้องศาลปกครอง

เมื่อ “สมัคร สุนทรเวช” หัวหน้าพรรคพลังประชาชน ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.โกวิท ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองนายกรัฐมนตรี และมาควบ รมว.มหาดไทย แทน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่ถูกกลุ่มเนวินเซะเก้าอี้ ก่อน “บิ๊กโก” จะพ้นจากตำแหน่งพร้อมสมัคร

สถานการณ์ที่พรรคเพื่อไทยเป็นรอง จึงเดินเกมประสานสิบทิศหลายด้าน ทั้งเจรจา ทางลึกทางลับ ภายในภายนอก กับกลุ่มขั้วอำนาจต่างๆ โดยมีการอ้าง “สัญญาณพิเศษ” มาใช้เพื่อยุติศึก

ไม่ว่าการเจรจาของปีกนักการเมืองสีแดง นำโดย ปลอดประสพ จาตุรนต์ ฉายแสง พงษ์เทพ เทพกาญจนา กับขั้วของพรรคประชาธิปัตย์ และองค์กรต่างชาติ ก็มีการอ้าง “สัญญาณพิเศษ” เพื่อให้ประเทศชาติกลับมาเดินหน้า ยุติความขัดแย้งทางการเมือง เลิกแบ่งสี

ไม่ว่าสัญญาณพิเศษที่ถูกหยิบยกมาเป็นเงื่อนไขนั้น จะเป็นของแท้ของเทียม ใกล้ไกลศูนย์อำนาจจริงแค่ไหน การวางตัว “บิ๊กโก” จึงเหมือนกับการเปลี่ยน “พลขับรถไฟสีแดง” ให้ภาพเทิดทูนสถาบันแจ่มชัด เพื่อสู้กับข้อกล่าวหาที่กระหน่ำทักษิณ เสื้อแดงปีกซ้าย และแกนนำเพื่อไทยบางส่วนว่า ไม่จงรักภักดี

แม้จะเป็นข้อกล่าวหาที่มีมาตั้งแต่ปลายรัฐบาลทักษิณเมื่อปี 2549 กระทั่งการรัฐประหารของ คมช. ก็ยกเรื่องการจาบจ้วงสถาบัน เป็น 1 ใน 4 เหตุผล กระทั่งมาวันนี้ ศอฉ. ส่งเรื่องให้ดีเอสไอดำเนินคดีล้มเจ้ากับเครือข่ายสีแดงอยู่

ไม่ว่าข้อกล่าวหาเหล่านี้จะเป็นการโจมตีทางการเมือง หรือให้ร้ายป้ายสี แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า นี่เป็นเรื่องเปราะบางที่ฝั่งทักษิณแม้จะชี้แจงยืนยันความจงรักภักดีอย่างไร ก็เหมือนพูดกับสายลม ไม่มีใครเชื่อ เพราะขบวนการแดงบางปีกที่อยู่รายล้อมทักษิณ เคลื่อนไหวลดทอนอำนาจสถาบัน

การใช้บริการ “บิ๊กโก” ก็เพื่อลบภาพหมิ่นสถาบัน และให้ “ติดกระแส” ผู้เข้าถึงสัญญาณพิเศษเพื่อนำไปสู่การเจรจาปรองดองคดีความต่างๆ โดยเฉพาะคดีภาษีของเครือญาติชินวัตรที่ยังอยู่ในชั้นศาล ซึ่งถูกจับตาอย่างเข้มข้น

ส่วน “บิ๊กโก” จะเป็นยันต์กันเหนียว ลบภาพหมิ่นสถาบัน ได้แค่ไหนเพียงไร ต้องเปรียบเทียบช่วงที่ทักษิณเลือก “สมัคร สุนทรเวช” เป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชน จนได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี ทักษิณหวังใช้จุดแข็งของสมัครที่เป็นฝ่ายขวา ปกป้องสถาบันมาช่วยกู้ภาพ ที่สุดก็ยากเกินควบคุม

เพราะขบวนการเสื้อแดงที่ยิ่งใหญ่จนไม่รู้ใครเป็นใคร โดยเฉพาะกลุ่มเสื้อแดงที่แตกกระจายหลายกลุ่ม บางกลุ่มใช้สนามหลวงปราศรัยโจมตีกระทบสถาบัน แม้แต่คนใกล้ชิดทักษิณ ช่น จักรภพ เพ็ญแข ที่พาดพิงอำมาตย์อย่างเผ็ดร้อน ทำให้สมัครถึงกับปวดหัว จนที่สุดจักรภพต้องลาออกจาก รมต.ประจำสำนักนายกฯ ด้วยข้อหาหมิ่นสถาบัน ขณะเดียวกันมีการดำเนินคดีกับแกนนำเสื้อแดงหลายคนที่กระทำการไม่เหมาะสม

การตั้ง “บิ๊กโก” เป็นยุทธวิธีที่ตามรอยเช่นเดียวกับการตั้งสมัคร ซึ่งคงไม่มีทางหยุดขบวนการหมิ่นสถาบันลงได้ เพราะทุกวันนี้เว็บไซต์เครือข่ายต่างๆ ที่มีเป้าประสงค์ ลดอำนาจเบื้องบน เกิดขึ้นมากมาย และซ้ายเก่า ซ้ายใหม่ ในขบวนการสีแดงในพรรคการเมือง ก็ยังดำรงอุดมการณ์เข้มข้น

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยน “ม้าโก” มาลุยภารกิจพิเศษครั้งนี้ เมื่อนายใหญ่สั่งตรง จึงแทบไม่มีมุ้งใดในพรรคขัดขืน แม้แต่ “บิ๊กเหลิม” ก็สนับสนุนสุดตัว เรียกได้ว่าเป็นบรรยากาศที่ชื่นมื่น ต่างจากช่วงที่ยงยุทธจะลาออกเมื่อต้นปี ที่เกิดความขัดแย้งในพรรคอย่างรุนแรง ส่วนกลุ่มอีสานพัฒนาที่ดูขัดขืน ก็เป็นการสร้างอำนาจต่อรองตามธรรมเนียม แต่ก็ไม่มีพลังคัดค้านในพรรค

อนาคต “บิ๊กโก” จะเป็นตัวจริงหรือไม่ ไม่มีใครรู้ แม้แต่ทักษิณเอง เว้นแต่สถานการณ์การเมืองในช่วงนั้นที่จะเป็นตัวกำหนดว่า พล.ต.อ.โกวิท จะเป็นหัวหน้าพรรคขัดตาทัพ หรือนั่งยาวตั้งแท่นเป็น แคนดิเดตนายกฯ คนใหม่
เกมนี้ยังอีกยาว...