posttoday

แบงก์เล็กกำไรโตสูงสุด63-67%

21 มกราคม 2560

‘เกียรตินาคิน’พุ่ง67% ‘แอลเอชไฟแนนเชียลกรุ๊ป’63% ‘ซีไอเอ็มบีไทย’ขาดทุน629ล้านบาท

‘เกียรตินาคิน’พุ่ง67% ‘แอลเอชไฟแนนเชียลกรุ๊ป’63% ‘ซีไอเอ็มบีไทย’ขาดทุน629ล้านบาท

โพสต์ทูเดย์ - กลุ่มแบงก์ประกาศกำไร ค่าเฉลี่ยแบงก์เล็กกำไรโตสูงกว่าแบงก์ใหญ่ ยกเว้นซีไอเอ็มบี ไทย พลิกมาขาดทุน 629.5 ล้าน

11 ธนาคารพาณิชย์ประกาศกำไรปี 2559  ปรากฏว่าธนาคารขนาดเล็กมีอัตราเติบโตกำไรเทียบปี 2558 ออกมาสูงกว่าธนาคารขนาดใหญ่ ยกเว้นธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) พลิกมาขาดทุน 629.5 ล้านบาท

จากกราฟพบว่า ธนาคารเกียรตินาคิน (KKP) กำไรโตสูงสุด 67.2% รองลงมา บริษัท แอลเอชไฟแนนเชียลกรุ๊ป (LHBANK) โต 63.3%  อันดับสาม  บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO) 17.8% อันดับสี่ 15.7% อันดับห้า ธนาคารกรุงศรี (BAY) 14.9% อันดับหก ธนาคารกรุงไทย (KTB) 13.3%  อันดับเจ็ด ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) 1.8% อันดับแปด ธนาคารไทยพาณิชย์ 0.9% อันดับเก้า ธนาคารกรุงเทพ (BBL) กำไรลดลง 6.9% อันดับสิบ ธนาคารทหารไทย (TMB) ลดลง 12% อันดับสิบเอ็ด CIMBT ขาดทุน 629.5 ล้านบาท ลดลง 159%

KKP แจ้งว่าธนาคารมีกำไรสุทธิ 5,547 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 67.2% เมื่อเทียบกับ ปี 2558 โดยเป็นกำไรสุทธิของธุรกิจตลาดทุน จำนวน 1,086 ล้านบาท หากพิจารณากำไรเบ็ดเสร็จรวมจะเท่ากับ 5,756 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 84.6% เป็นกำไรเบ็ดเสร็จของธุรกิจตลาดทุนจำนวน 1,075 ล้านบาท โดยกำไรเบ็ดเสร็จรวมได้รวมผลจากการวัดมูลค่าหลักทรัพย์เผื่อขายอันเป็นผลจากความผันผวนของตลาดทุน

ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2559 ธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) คำนวณตามเกณฑ์ Basel III ซึ่งรวมกำไรถึงสิ้นปี 2558 อยู่ที่ 18.53% โดยเงินกองทุนชั้นที่ 1 เท่ากับร้อยละ 15.01 แต่หากรวมกำไรถึงสิ้นปี 2559 อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงจะเท่ากับ 20.40% และเงินกองทุนชั้นที่ 1 เท่ากับ 16.87%

BAY รายงานผลกำไรสุทธิแข็งแกร่งสำหรับปี 2559 อยู่ที่ 21,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.9% จากปี 2558 ขณะเดียวกันสินเชื่อเติบโตสูงถึง 11.2% สูงกว่าเป้าหมายการเติบโตสินเชื่อที่ 8-9% จากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิจากการเติบโตของเงินให้สินเชื่อ ต้นทุนการเงินที่ปรับดีขึ้นจากการบริหารต้นทุนของธนาคาร

นายโนริอากิ โกโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BAY กล่าวว่า ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปและภาคต่างประเทศที่เปราะบางในปี 2559 ธนาคารมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง สินเชื่อเติบโตอย่างมีคุณภาพ รวมทั้งสามารถขยายธุรกิจไปในต่างประเทศด้วยความสำเร็จในการเข้าซื้อกิจการของ HKL ในกัมพูชา ผลการดำเนินงานที่โดดเด่นนี้สะท้อนศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งเกิดจากการผสานพลังทางธุรกิจร่วมกับมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (MUFG)

นางอาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ให้ความเห็นว่า ธนาคารพาณิชย์ขนาดเล็ก มีกำไรสุทธิในปี
2559 เติบโตแข็งแกร่ง ขณะที่ธนาคารขนาดใหญ่มีกำไรสุทธิทรงตัว-ลดลง

ทั้งนี้ เป็นเพราะหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของสินเชื่อหลักธนาคารเล็กคือสินเชื่อเช่าซื้อได้ถึงจุดสูงสุด ก่อนธนาคารใหญ่ เอ็นพีแอลของหลายธนาคารลดลงต่อเนื่องทำให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยของสินเชื่อดีขึ้น  มีการปรับสัดส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (CASA) ให้เพิ่มขึ้นเพื่อบริหารต้นทุนการเงินให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น  ต้นทุนการเงินลดลง การตั้งสำรองค่าเผื่อฯ แม้ว่าจะสูงแต่ก็ไม่ได้เป็นก้อนใหญ่มากแล้ว

สำหรับแนวโน้มปี 2560 ยังคงประเมินว่าธนาคารขนาดเล็กจะมีผลประกอบการที่เติบโตดีกว่าธนาคารใหญ่ ซึ่งเป็นผลจากการที่เอ็นพีแอลของสินเชื่อที่พักอาศัยและสินเชื่อขนาดกลางและขนาดเล็ก (เอสเอ็มอี) ยังมีความเสี่ยงที่จะเพิ่มขึ้น ทำให้ธนาคารใหญ่ยังต้องตั้งสำรองค่าเผื่อสงสัยจะสูญสูง ผลประกอบการจึงอยู่ในแนวโน้มทรง-อ่อนลง แต่ธนาคารขนาดเล็กมีความเสี่ยงเรื่อง
เอ็นพีแอลเพิ่มขึ้นน้อยกว่าและสินเชื่อเช่าซื้อมีโอกาสกระเตื้องขึ้นในช่วงครึ่งหลังปีนี้

ในเชิงกลยุทธ์ ให้ TISCO ราคาพื้นฐาน 75 บาท เป็นหุ้นแนะนำในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ รองลงมาเป็น TCAP ราคาพื้นฐาน 53 บาท ทั้งนี้ TISCO กำลังเข้าซื้อธุรกิจรายย่อยของธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) (SCBT) คาดว่าจะแล้วเสร็จในครึ่งปีหลังนี้ และทำให้พอร์ตสินเชื่อของ TISCO เติบโตได้ 15% เมื่อทำงบการเงินรวม ซึ่งรายการนี้จะทำให้มีการเติบโตของกำไรในปี 2560 และปี 2561 โดยขณะนี้เรายังไม่รวมธุรกรรม SCBT ไว้ในประมาณการและราคาเป้าหมายของ TISCO