posttoday

บึ้มป่วนเมือง สงครามประสาทกดดันรัฐบาล

02 กันยายน 2553

เหตุระเบิดล่าสุดเมื่อวันที่ 31 ส.ค. ที่บริเวณลานจอดรถสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (เอ็นบีที) แบบ “อุกอาจ” ท้าทายอำนาจรัฐยิ่ง หากดูผิวเผินเหมือนสร้างความเสียหายแก่รถยนต์ 4 คัน แต่อานุภาพความรุนแรงของระเบิดเอ็ม 79 ลูกนี้ ยังส่งผลรุนแรงต่อความน่าเชื่อถือของ “รัฐบาล”

เหตุระเบิดล่าสุดเมื่อวันที่ 31 ส.ค. ที่บริเวณลานจอดรถสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (เอ็นบีที) แบบ “อุกอาจ” ท้าทายอำนาจรัฐยิ่ง หากดูผิวเผินเหมือนสร้างความเสียหายแก่รถยนต์ 4 คัน แต่อานุภาพความรุนแรงของระเบิดเอ็ม 79 ลูกนี้ ยังส่งผลรุนแรงต่อความน่าเชื่อถือของ “รัฐบาล”

โดย....ทีมข่าวการเมือง


บึ้มป่วนเมือง สงครามประสาทกดดันรัฐบาล

เพราะนอกจากจะสะท้อนความไร้ประสิทธิภาพ “สกัด” ความรุนแรงครั้งใหม่ที่เกิดถี่ขึ้น อุกอาจขึ้นแล้ว อีกด้านหนึ่งยังไร้วี่แววว่าจะสามารถจับกุม “คนร้าย” ที่ก่อเหตุปั่นป่วนหลายครั้งมาดำเนินคดี

สำหรับสถานีวิทยุโทรทัศน์ฯ เอ็นบีที เหตุป่วนครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 มี.ค. มีผู้บาดเจ็บ 4 ราย จากเอ็ม 79 ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 4 เม.ย. แต่โชคดีไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ เนื่องจากระเบิดตกลงตรงประตูทางเข้า ซึ่งจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีความคืบหน้าในทางคดี

ก่อนหน้านี้ไม่ถึงสัปดาห์ได้เกิดเหตุระเบิดที่ห้างสรรพสินค้าคิง เพาเวอร์ คอมเพล็กซ์ จนอาคารเสียหายและมีผู้ได้รับบาดเจ็บ หรือย้อนก่อนหน้านั้นเดือนหนึ่ง เกิดเหตุระเบิดหน้าห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ราชดำริ จนมีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ

หลายๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผู้มีอำนาจในรัฐบาลต่างออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ทางการข่าวมีเบาะแสข้อมูลการก่อเหตุ แต่เป็นเรื่องยากที่จะป้องกัน

สุดท้ายกลายเป็นปรากฏการณ์ “วัวหายล้อมคอก” แบบเดิมๆ เหมือนทุกครั้ง

ครั้งนี้ทางศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้เพิ่มจุดตรวจและเพิ่มกำลังทหารตำรวจในพื้นที่ล่อแหลม สุ่มเสี่ยง 11 จุดทั่วกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะเป็นระบบคมนาคมที่สำคัญ สถานที่ราชการ สถานีวิทยุโทรทัศน์ที่สำคัญต่างๆ

หลังเกิดเหตุ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ที่ปรึกษา (สบ 10) เปิดเผยหลังประชุมร่วมกับ พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น. และคณะทำงานสืนสวนสอบสวน ว่า “คนร้าย” น่าจะเป็นกลุ่มเดียวกับที่ยิงเอ็ม 79 ใส่ตึกคิง เพาเวอร์ เมื่อวันที่ 26 ส.ค.ที่ผ่านมา

นี่ถือเป็นข้อมูลที่เข้าใกล้ความเป็นจริงอีกขั้น แต่ขณะเดียวกันกลับยิ่งสร้างความน่าหนักใจ

เมื่อเหตุระเบิดที่คิง เพาเวอร์ จนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถจับมือใครดม ถึงขั้นต้องเตรียมเชิญเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านระเบิดเอ็ม 79 จากสหรัฐอเมริกา มาร่วมสืบสวนหาข้อเท็จจริงจากสะเก็ดระเบิด วิถีการยิง

ดังนั้น หากเหตุระเบิดทั้งสองเป็นฝีมือของกลุ่มเดียวกัน ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายในการเข้าใกล้ตัวผู้ที่อยู่ “เบื้องหลัง” ซึ่งมีความเชี่ยวชาญการก่อเหตุ และยังไม่มีวี่แววว่าจะหยุดการปั่นป่วน

ขณะที่ต่างฝ่ายต่างโยนกันไปมาว่าเป็น “ฝีมือ” ของอีกฝ่ายที่ต้องการหวังผลการเมือง

ไล่เรียงจากกลุ่มที่ถูกตั้งข้อสงสัย กลุ่มแรกหนีไม่พ้น “เสื้อแดง” ที่ถูกโยงไปเกี่ยวพันกับความรุนแรงมาโดยตลอดตั้งแต่สมัยปักหลักชุมนุม และยังถูกมองต่อมาว่าอาจเป็น “ต้นตอ” ของเหตุป่วนในช่วงหลังๆ

โดยเฉพาะ “สัญญาณ” จากการประเมินของ ปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่ระบุว่า การเคลื่อนไหวครั้งนี้ต้องการให้เป็น “สัญลักษณ์ทางการเมือง” ของบางกลุ่มที่ไม่ต้องการให้การเมืองเข้าสู่ระบบ


“เหตุที่เกิดขึ้นน่ามาจากกลุ่มคนที่ไม่ต้องการให้การเมืองเข้าสู่ระบบ เพราะหลังการกระชับพื้นที่กลุ่มคนเสื้อแดงสำเร็จ ทำให้บรรยากาศบ้านเมืองดีขึ้น การเมืองเข้าสู่ระบบสภามากขึ้น แต่มีกลุ่มคนบางกลุ่มไม่ต้องการให้การเมืองเข้าสู่ระบบ”


อย่างไรก็ตาม หลังการเสียชีวิตของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง และการเร่งรัดติดตามตัวคนใกล้ชิด เสธ.แดง มาดำเนินคดีจนยากจะเคลื่อนไหว ทำให้เป้าความสนใจถูกพุ่งมองว่า เบื้องหลังควมรุนแรงอาจเป็นฝีมือ “กลุ่มทหารแก่” ที่เคยพยายามโชว์ศักยภาพก่อนหน้านี้

อีกด้านหนึ่งกลับมองว่า “เหตุบึ้ม” ที่เกิดขึ้นอาจเป็นฝีมือจากฝั่งของภาครัฐเอง ที่ต้องการจะสร้างสถานการณ์ความรุนแรง เพื่อเป็นเหตุผลในการคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไป หลังจากหลายภาคส่วนในสังคมออกมาประสานเสียงรบเร้าให้รีบยกเลิกการคง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

รวมทั้งอาจเป็นการกระทำที่หวังป้ายสีฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลหวังผลการเมือง โดยเฉพาะการเลือกตั้ง สก. และ สข. ที่พรรคเพื่อไทยเชื่อว่าส่วนหนึ่งที่แพ้ไปหมดรูป มาจากเหตุระเบิดที่คิง เพาเวอร์ เมื่อวันที่ 26 ส.ค. ก่อนการเลือกตั้งสก. และ สข. ในวันที่ 29 ส.ค.

ซึ่งนอกจากหวังผลการเมืองแล้ว พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ยังออกมาระบุว่า เหตุระเบิดที่คิง เพาเวอร์ มาจาก “กลุ่มอำนาจใหม่” หรือกลุ่มสีเขียวที่มีอำนาจ และนักการเมืองที่มีเงินและบารมี ที่พยายามปูทางสร้างทฤษฎีแห่งความกลัว


“แผนล่าสุดที่ได้รับข้อมูลมาจากคนในหน่วยงานความมั่นคงบอกว่า จะมีการวางระเบิดครั้งใหญ่ในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินเดือน ก.ย.-ต.ค. แล้วป้ายสีไปยังฝ่ายตรงข้าม เพื่อสร้างสถานการณ์ที่จะไม่ให้มีการเลือกตั้ง และจะเป็นไปตามที่โหรทำนายว่าจะมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นจนกองทัพต้องเข้าควบคุมสถานการณ์แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด”


สอดรับกับที่ บิ๊กจิ๋ว พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย ออกมาย้ำว่า จะเกิดการเปลี่ยนแปลงปลายปี

อีกด้านหนึ่งมองว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นมาจากฝ่ายที่เสียประโยชน์จากการบริหารงานของรัฐบาลที่ผ่านมา โดยเฉพาะการแต่งตั้งโยกย้าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่าย “กองทัพ” ที่กำลังอยู่ระหว่างการยกเครื่องจัดวางขุมกำลัง รองรับการเข้าสู่อำนาจจากฟาก “บูรพาพยัคฆ์” จนกลายเป็นรอยร้าวภายใน

หรือแม้แต่ฟาก “ตำรวจ” ที่ประสบปัญหาเรื่องการแต่งตั้งโยกย้าย ถึงขั้นไม่พอใจกันรุนแรงและนำมาสู่การฟ้องร้อง ระหว่างที่รัฐบาลพยายามเดินหน้าสลายเครือข่าย “ตำรวจมะเขือเทศ” จนอาจะเป็นชนวนนำมาสู่การผสมโรงสร้างความปั่น

แม้แต่การเติบโต้แบบข้ามหน้าข้ามตาของพรรคภูมิใจไทยจนมี สส. ไหลเข้าต่อเนื่อง ในอีกมุมหนึ่งยังถูกมองว่า อาจจะไปขวางหูขวางตาบางฝ่ายและนำมาสู่เหตุระเบิดข่มขู่ โดยเฉพาะที่คิง เพาเวอร์ ซึ่งเกิดเหตุหลังจาก เนวิน ชิดชอบ ที่มารับประทานอาหารเย็นเดินทางออกไปก่อนเกิดระเบิดไม่นาน??

เหตุระเบิดป่วนเมืองที่เริ่มเกิดถี่ขึ้นเรื่อยๆ จึงถือเป็นอีกสงครามจิตวิทยากดดัน “รัฐบาล” โดยเฉพาะการข่าวที่แจ้งเตือนว่ายังมีแผนก่อวินาศกรรมในอีกหลายที่ต่อจากนี้