posttoday

ปรองดองขยับ สลายสีเสื้อ

13 มกราคม 2560

ในที่สุดการปฏิรูปประเทศและการสร้าง ความปรองดองได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ ภายหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

ในที่สุดการปฏิรูปประเทศและการสร้าง ความปรองดองได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ ภายหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานการประชุมเตรียมการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เมื่อวันที่ 12 ม.ค. ซึ่งสาระสำคัญ คือ การย้ำว่าการสร้างความปรองดองจะมาจากฐานของการปฏิรูปประเทศ ไม่ใช่แค่การนิรโทษกรรมเป็นหลัก

“เรามุ่งหวังว่าประเทศชาติจะเดินได้อย่างไรใน 15 ปี และรัฐบาลที่อยู่ตามโรดแมป จะทำอะไรไว้บ้าง เพื่อเป็นการเริ่มต้นซ่อม เสริม สร้าง อันหมายถึงซ่อมของเก่า เสริมให้แข็งแรงขึ้น และสร้างเรื่องใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น เช่น โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก จะต้องเกิดขึ้นให้ได้ในปี 2560

เราต้องสร้างความรับรู้ว่าประเทศไทยกำลังจะมีโครงการนี้ สร้างให้ทั้งโลกเขารู้และคนไทยเองก็ต้องรู้ เพื่อให้เกิดความร่วมมือ และจะได้ผลประโยชน์จากสิ่งที่เราทำวันนี้ ซึ่งเป็นอนาคตเหมือนกับโครงการโชติช่วงชัชวาลเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า วันนี้มีโครงการอีอีซีและหลายอย่างต้องคิดใหม่ หลายอย่างต้องมีกฎหมายสำคัญ หลายอย่างประชาชนต้องร่วมมือและเข้าใจว่าจะได้ประโยชน์จากตรงไหน ไม่เช่นนั้นจะเกิดความขัดแย้ง” เจตนารมณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์

เรียกได้ว่าเป็นจังหวะก้าวสำคัญทางการเมือง อย่างที่ทราบกันดีว่าช่วงนี้ถือเป็นปลายอำนาจของรัฐบาลและคสช. เพราะหากไม่เริ่มทำตั้งแต่เวลานี้ก็อาจจะสายเกินไปแล้วสำหรับการสร้างความปรองดอง

อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่าเมื่อรัฐบาลคิกออฟเรื่องการปรองดองไม่ทันไร ก็เริ่มมีสัญญาณที่ดีออกมาว่าการเดินหน้าตามแผนของรัฐบาลและ คสช.น่าจะมีความเป็นรูปธรรม ดังจะเห็นได้จากท่าทีของฝ่ายการเมืองที่ตอบรับในเชิงบวกอยู่ไม่น้อย

เช่น พรรคเพื่อไทย ศัตรูหมายเลขหนึ่งของ คสช.ก็ชมถึงความตั้งใจของ คสช.ในเรื่องนี้

“เริ่มศักราชใหม่ปี 2560 ผมสังเกตเห็นสัญญาณบวกในทางการเมืองอย่างน้อย 2-3 ประการที่จะเป็นจุดเริ่มต้นให้ประเทศเดินหน้าไปสู่ความสงบ สันติ และเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ คือ 1.การให้สัมภาษณ์ของผบ.ทบ.และเลขาธิการ คสช. ว่า ทหารจะไม่คว่ำการเลือกตั้ง 2.รัฐบาลส่งสัญญาณจะมีการพูดคุยเรื่องการปรองดองก่อนการเลือกตั้ง และ 3.ผู้ที่ต้องคดีอาญาเกี่ยวเนื่องทางการเมืองได้รับการประกันตัว” ชวลิต วิชยสุทธิ์ แกนนำพรรคเพื่อไทยระบุ

เช่นเดียวกับ นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ สนับสนุนว่า “เห็นด้วยที่เริ่มนับหนึ่งเรื่องปรองดอง โดยไม่เอาคู่กรณี ขัดแย้งเข้ามาร่วมเป็นกรรมการปรองดอง เพราะถ้าเข้ามาก็ไม่จบอีก”             

ไม่ต่างอะไรกับกลุ่มการเมืองสีเสื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ซึ่งประกาศยอมลดบทบาทของตัวเอง

“ฉะนั้นเมื่อศาลให้โอกาสอีกครั้ง และกำชับย้ำในคำสั่งว่าจะให้โอกาสอีกเพียงครั้งเดียวนั้น ผมจะใช้ความระมัดระวังอย่างสูงสุด ส่วนเรื่องปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนนั้น จะมอบหมายให้กับ นปช.ส่วนอื่นๆ ได้ทำหน้าที่ไปในระหว่างนี้ “ คำกล่าวของ จตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ภายหลังได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว

แม้จะไม่ได้เป็นประกาศเข้าสู่กระบวนการสันติภาพโดยตรง แต่การประกาศลดบทบาทของจตุพร ทั้งที่เป็นคนเดินหน้าชน คสช.แบบไม่กลัวสิ้นอิสรภาพก่อน ย่อมเป็นการแสดงให้เห็นว่าเสื้อแดงยินดีอยู่ในความสงบและไม่ขอท้ารบกับ คสช.อีกในระยะนี้ เพื่อให้ขบวนการสันติภาพเดินหน้าไปตามระบบ

หากจะวิเคราะห์ถึงการยอมยกธงขาวโดยปริยายของกลุ่มเสื้อแดงนั้นส่วนหนึ่งมาจากความบอบช้ำที่เผชิญมาตลอดในช่วงเวลา 2 ปีที่ คสช.เข้ามา
บริหารประเทศ

กลุ่มเสื้อแดงถูก คสช.เปิดเกมรุกเข้าใส่อย่างหนัก ตั้งแต่การดำเนินคดีกับกลุ่มแกนนำและเครือข่าย ไปจนถึงการพยายามปิดช่องทางการสื่อสารของกลุ่มคนเสื้อแดงในส่วนของโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ยิ่งไปกว่านั้นระยะหลังมานี้พรรคเพื่อไทยพยายามลดความสัมพันธ์กับกลุ่มคนเสื้อแดงอย่างน่าใจหาย ส่งผลให้องคาพยพและพลังของ นปช.ถดถอยลงไปพอสมควร

ยิ่งไปกว่านั้นสังคมบอบช้ำกับการกิจกรรมทางการเมืองของกลุ่มสีเสื้อมาไม่น้อย ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้สังคมจึงไม่ตอบรับการเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองเหล่านี้มากนัก เพียงแต่การไม่สนับสนุนกลุ่มสีเสื้อนั้นไม่ได้หมายความว่าจะเป็นการเชียร์ คสช.ไปในตัว

ดังนั้น ในช่วงสีเสื้อในทางการเมืองอ่อนแรง จึงเป็นจังหวะดีที่ คสช.จะขับเคลื่อนเรื่องนี้ให้เป็นรูปธรรมเพื่อสร้างผลตามที่ได้ประกาศไว้เมื่อครั้งรัฐประหารเมื่อปี 2557

ทั้งหมดเพื่อไปสู่เป้าหมาย คือ การสลายสีเสื้อให้หมดไปและให้ประเทศไร้ม็อบการเมืองในช่วงระยะเปลี่ยนผ่าน ซึ่งไม่มีโอกาสไหนจะเหมาะไปกว่านี้อีกแล้ว เหลือเพียง คสช.เข้ามาดำเนินการให้เป็นระบบเท่านั้น