posttoday

เฟดกดดันลงทุนโลกจ่อขึ้นดอกเบี้ย ธ.ค.นี้

24 พฤศจิกายน 2559

บลูมเบิร์ก รายงานคาดความน่าจะเป็นที่ธนาคารกลางสหรัฐจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลังการประชุมวันที่ 13-14 ธ.ค.นี้ อยู่ที่ 100%

โดย...ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่าตลาดคาดความน่าจะเป็นที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลังการประชุมวันที่ 13-14 ธ.ค.นี้ อยู่ที่ 100% ท่ามกลางคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อภายหลัง โดนัลด์ ทรัมป์ วัย 70 ปี สามารถคว้าตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐมาได้เมื่อวันที่ 8 พ.ย. ขณะที่  เจเน็ต เยลเลน ผู้ว่าการเฟด ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยในเร็วๆ นี้

การคาดการณ์ว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยยังส่งผลให้นักลงทุนเข้าไปเก็งกำไรในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้ายูโร-เหรียญสหรัฐสูงสุดทำสถิติใหม่ โดย เฉิงเฉิน นักกลยุทธ์ค่าเงินของทีดี ซีเคียวริตีส์ เปิดเผยข้อมูลอ้างคณะกรรมการซื้อขายโภคภัณฑ์ล่วงหน้าสหรัฐ ว่าในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีการเข้าเก็งกำไรระยะสั้นในตลาดค่าเงินยูโรเหรียญสหรัฐซื้อขายล่วงหน้าอยู่ที่ 2.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 73 ล้านล้านบาท) ทำลายสถิติเก่าเมื่อปี 2014

นับตั้งแต่ทรัมป์ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นและดัชนีดาวโจนส์ปรับขึ้นไปปิดตัวเหนือระดับ 19,000 จุด ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เมื่อวันที่ 22 พ.ย.ที่ผ่านมา ขณะที่ค่าเงินเหรียญสหรัฐยังแข็งค่าสูงสุดในรอบ 13 ปีครึ่ง สวนทางกับราคาพันธบัตรที่ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงทั่วโลกพร้อมกับผลตอบแทนจูงใจที่พุ่งขึ้น เช่น ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 2 ปี ปรับขึ้นปิดสูงสุดเมื่อปี 2010 ขณะที่พันธบัตร 5 ปี แตะจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2015

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวยังเกิดขึ้นกับพันธบัตรในเอเชียและยุโรป เช่น ผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีของญี่ปุ่นและพันธบัตร 10 ปีของเยอรมนีที่ปรับตัวขึ้นจากแดนลบ อย่างไรก็ตาม วอลสตรีท เจอร์นัล รายงานว่าการปรับตัวขึ้นของพันธบัตรจะส่งผลต่อการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก

ตลาดอสังหาฯ ผวาเงินออก

วอลสตรีท เจอร์นัล ระบุว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนเข้ามาลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ เพราะได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าพันธบัตรที่มี ผลตอบแทนตกต่ำ อย่างไรก็ตามจากผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับตัวขึ้น เป็น ผลให้นักลงทุนจะหันกลับไปลงทุนยังพันธบัตรรัฐบาลที่น่าลงทุนมากกว่า โดยแม้นักวิเคราะห์จะยังไม่คาดการณ์ไปถึงราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ร่วงลง แต่บรรดานักวิเคราะห์และนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์เริ่มกังวลจะเกิดภาวะดังกล่าว

คริส เทย์เลอร์ หัวหน้าฝ่ายอสังหา ริมทรัพย์ของแอร์เมส อินเวสต์เมนต์ แมนเนจเมนต์ บริษัทลงทุนสินทรัพย์ในกรุงลอนดอน เปิดเผยว่า ปัจจัยเสี่ยงในตลาดอสังหาริมทรัพย์เป็นผลจากการใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำเป็นระยะเวลานาน ส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยปัจจัยตลาด

อย่างไรก็ตาม คุชแมน แอนด์ เวคฟิลด์ โบรเกอร์อสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า แม้ราคาอสังหาริมทรัพย์จะปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา แต่แรงซื้อยังคงปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากความต่างระหว่างผลตอบแทนพันธบัตรและอสังหาริมทรัพย์ยังสูงอยู่ โดยผลตอบแทนอสังหาริมทรัพย์อยู่ที่ 4.5% ในยูโรโซน เทียบกับ ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปีอยู่ใกล้เคียงแดนลบ

ดอลลาร์แข็งดันหนี้เอเชียพุ่ง

ในช่วงที่ผ่านมาภาคเอกชนในเอเชียมีการก่อหนี้สกุลเงินเหรียญสหรัฐมากขึ้นในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยต่ำ และค่าเงินเหรียญสหรัฐที่แข็งค่าขึ้น จะสร้างความปวดหัวให้กับเอเชีย เนื่องจากทำให้ต้นทุนในการกู้ยืมสูงขึ้น โดยจากข้อมูลของ ดีลโลจิก เอเชียมีการออกตราสารหนี้มากถึง 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 38 ล้านล้านบาท) ในปี 2016 นี้ เมื่อเทียบกับ 2.6 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 9 ล้านล้านบาท)

ต้นทุนในการกู้ยืมสูงขึ้นส่งผลให้ภาคเอกชนต้องนำรายได้ที่ได้จากการลงทุนไปชำระหนี้มากขึ้นแทนการลงทุนเพื่อสร้างการขยายตัว เช่น สร้างโรงงานหรือเพิ่มโครงสร้างพื้นฐาน และจะ เป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจเอเชียในภาพรวม โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ  (ไอเอ็มเอฟ) คาดการณ์ว่าเอเชียจะโตเพียง 5.3% ในปีนี้ เมื่อเทียบกับ 5.4% เมื่อปี 2015 ที่ผ่านมา และระบุว่าเอเชียมีการออกตราสารหนี้เพิ่มเพื่อนำมาชำระหนี้ตราสารหนี้เก่า

ก่อนหน้านี้ คันทรี การ์เดน โฮลดิ้งส์ บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในจีน ตัดสินใจฃยกเลิกการขายหุ้นกู้สกุลเงินเหรียญสหรัฐ 10 ปี โดยระบุว่าเป็นผลมาจากภาวะตลาดที่ยังไม่แน่นอน เช่นเดียวกับคานาราแบงก์ ธนาคารรัฐของอินเดีย ที่เลื่อนการขายหุ้นกู้มูลค่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.7 หมื่นล้านบาท) ออกไป

จีนขู่โต้กลับทรัมป์ตั้งกำแพงภาษี

เพนนี พริทซ์เกอร์ รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐ เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่จีนได้เตือนมายังสหรัฐแล้วว่าอาจมีมาตรการตอบโต้หากสหรัฐตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนจริง ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายของทรัมป์ โดยหากจีนตอบโต้จริงจะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจและการจ้างงานกับสหรัฐ

นอกจากนี้ พริทซ์เกอร์ ยังเปิดเผยอีกด้วยว่าการที่ทรัมป์มุ่งหมายจะยกเลิกความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (ทีพีพี) จะเปิดโอกาสให้จีนผลักดันข้อตกลงการค้าเสรีของ ตัวเอง และส่งผลกระทบต่ออิทธิพลด้านเศรษฐกิจของสหรัฐต่อเอเชียและต่อโลก

ด้าน เอดูอาร์โด เฟอร์เรย์รอส รัฐมนตรีพาณิชย์เปรู กล่าวว่า การ ให้คำมั่นจะยกเลิกทีพีพีของทรัมป์ ไม่ได้ทำให้ข้อตกลงดังกล่าวล้มเหลวไป และสมาชิกทีพีพีควรตกลงกันเปลี่ยนเงื่อนไขในข้อตกลงดังกล่าว ซึ่งเดิมจะมีผลหากเมื่อสหรัฐให้สัตยาบันเท่านั้น โดยนอกจากเงื่อนไขดังกล่าวแล้วสมาชิกยังสามารถเปลี่ยนเงื่อนไขเดิมอื่นๆ ซึ่งไม่พอใจได้

ขณะเดียวกันเปรูลงนามบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) การค้าเสรีทวิภาคีกับจีน เพื่อยกระดับการค้าเสรีดังกล่าว ซึ่งมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2010 และทำให้การส่งออกจากเปรูไปจีนเพิ่มขึ้นไปแล้วราว 9%