posttoday

"จตุพร"ติดคุก ฉุดพลังนปช.แผ่ว

12 ตุลาคม 2559

กลับมาสูญเสียอิสรภาพรอบที่ 3 เมื่อศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า จตุพร พรหมพันธุ์ กระทำการผิดเงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราว​

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

กลับมาสูญเสียอิสรภาพรอบที่ 3 เมื่อศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า จตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กระทำการผิดเงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราว​ พร้อมกับมีคำสั่งให้ยกเลิกการปล่อยตัวชั่วคราว

ประเด็นอยู่ที่​การคุมตัว จตุพร ซึ่งเตรียมพร้อมเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวใส่กระเป๋าเป้มาระหว่างรับฟังคำสั่งศาลวานนี้ ​ย่อมส่งผลกระทบต่อ “ทิศทาง” และ “พลัง” การเคลื่อนไหวของมวลชนคนเสื้อแดงในอนาคต อย่างมีนัยสำคัญ

ประการแรกนี้เป็นคดีที่แกนนำ นปช.ตกเป็นจำเลยในคดีก่อการร้ายที่มีโทษรุนแรง นอกจากจะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือแล้ว ยังต้องต่อสู้ตามกระบวนการไปอีกสักระยะ

​แม้ทาง วีระกานต์ มุสิกพงศ์ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นพ.เหวง โตจิราการ นิสิต สินธุไพร แกนนำ นปช.คนอื่นๆ ที่ติดร่างแหอยู่ในคดีนี้และได้รับการประกันตัวชั่วคราวออกมาสู้คดีพร้อมกัน จะไม่ถูกถอนประกันในรอบนี้ด้วย​

แต่ใช่ว่าแกนนำเหล่านี้จะกล้าออกมาเคลื่อนไหวในอนาคตเพราะ​บทเรียนจาก จตุพร รอบนี้สะท้อนให้เห็นว่าออกมาวิพากษ์วิจารณ์หรือแสดงความคิดความเห็นที่หมิ่นเหม่ถูกดำเนินคดีได้ สุดท้ายอาจพลาดพลั้งต้องเดินทางกลับเข้าสู่เรือนจำตามรอย จตุพร อย่างไม่รู้ตัว

จะเห็นว่าชนวนสำคัญทำให้ จตุพร ถูกถอนประกันเนื่องจากการจัดรายการผ่านสถานีโทรทัศน์ ใส่ความให้ร้ายผู้อื่น ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย อันเป็นการละเมิด กระทบสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล หรือหน่วยงานรัฐ ที่ฝ่าฝืนเงื่อนไขการให้ประกันตัวชั่วคราวของศาล

แต่หากดูรายละเอียดแต่ละเรื่อง อาทิ ​การแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช อุทยานราชภักดิ์ จะเห็นว่าเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและเข้าใจได้ว่าทำไมถึงถูกตีความว่าเข้าข่าย ​“​ยั่วยุปลุกปั่น” ทำให้บ้านเมืองไม่สงบผิดเงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราว

ทั้งที่เจ้าตัวจะพยายามชี้แจงว่าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ติชมโดยความสุจริตในฐานะประชาชนผู้ห่วงใยประเทศ ไม่เคยพูดในลักษณะยุยง

ไม่แปลกที่จะมีบางกลุ่มมองว่าการที่อัยการออกมาขอเพิกถอนการปล่อยตัวรอบนี้เป็นอีกแรงบีบที่จะควบคุมแกนนำ นปช.ไม่ให้ออกมาเคลื่อนไหว​ ตลอดจนการออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล คสช.

ก่อนหน้านี้จะเห็นว่ามีความพยายามสกัดการเคลื่อนไหวของ นปช.หลายระลอก ทั้งกรณีที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) มีมติ​สั่งพักใบอนุญาตสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมพีซทีวี ​และสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมทีวียี่สิบสี่ ด้วยเหตุผลที่ระบุว่า เนื้อหาในรายการเข้าข่ายให้ข้อมูลข่าวสารยั่วยุ ปลุกปั่น ขัดต่อประกาศ คสช. ฉบับที่ 97/2557 และฉบับที่ 103/2557

แต่ก็ไม่อาจหยุดการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล คสช.ได้ เมื่อแกนนำ นปช.พากันเปลี่ยนรูปแบบการจัดรายการเมื่อจัดผ่านยูทูบและเคลื่อนไหวผ่านทางเฟซบุ๊ก

ปัญหาอยู่ที่รอบนี้ จตุพร ในฐานะประธาน​ นปช.ต้องกลับเข้าเรือนจำในช่วงที่ต้องต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมกับทั้งคดีก่อการร้ายที่ใช้เวลาอีกนาน ยังไม่รวมกับคดีอื่นๆ ที่จ่อคิวอีกหลายคดี ​

​เมื่อหัวขบวนไม่อาจนำทัพเคลื่อนไหวได้ คงยากมีใครกล้าเอาอนาคตมาสุ่มเสี่ยงด้วยการผลีผลามทำอะไรที่ท้าทาย คสช. ซึ่งมีอำนาจเต็มมือเวลานี้

อีกทั้งเวลานี้ยังไม่มี “ประเด็น” ที่มีน้ำหนักเพียงพอจะออกมาขย่ม คสช. ยิ่งในวันที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น แม้จะถูกฉุดด้วยเรื่องของคนรอบตัวไปบ้างแต่ก็ไม่ทำให้ภาพรวมของ คสช.เสียหายรุนแรง

แถม “สัญญาณลุย” จากเมืองนอกที่เคยเปิดหน้าออกมาขย่ม คสช.ในช่วงก่อนหน้านี้ก็ดูจะเงียบหายไปในระยะหลัง ​

ดังนั้น เมื่อแกนนำ นปช.ที่เวลานี้แต่ละคนก็ล้วนแต่มีคดีติดตัวจนไม่มีเวลาจะมาคิดเคลื่อนไหวต่อต้าน คสช.เหมือนแต่ก่อน ย่อมทำให้พลังของมวลชนคนเสื้อแดงค่อยๆ มอดลงไป

สอดรับกับผลการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญที่ประชาชนส่วนใหญ่ออกมาสนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ภาคอีสาน ภาคเหนือ ซึ่งเป็นฐานอันเข้มแข็งของคนเสื้อแดง

ทั้งที่แกนนำ นปช.และพรรคเพื่อไทยออกมาประกาศจุดยืนชัดเจนว่าไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้

ยังไม่รวมกับเงื่อนไขคำสั่งของ คสช.ที่ห้ามพรรคการเมือง และกลุ่มต่างๆ ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งสะกดไม่ให้ใครกล้าฝ่าฝืนหากไม่มีเหตุจูงใจ เพราะโทษของการฝ่าฝืนคำสั่งของ คสช.นั้น มีแต่จะไปซ้ำเติมคดีอื่นๆ ​ให้หนักขึ้น

สุดท้ายเมื่อเส้นทางข้างหน้าชัดเจนแล้วว่าหากกัดฟันรออีกแค่ปีกว่า ทุกอย่างต้องเดินไปสู่กระบวนการเลือกตั้งที่จะพาประเทศกลับเข้าสู่ระบบปกติ

เหตุผลต่างๆ เหล่านี้ล้วนแต่ทำให้เชื่อได้ว่าพลังการเคลื่อนไหวของ นปช.จะแผ่วลงไปเรื่อยๆ