ม็อบสารพัดสีเสื้ออยู่ลำบาก
เส้นทางการเมืองเริ่มกลับมาสงบเงียบอีกครั้ง ในช่วงที่หลายฝ่ายกำลังจดจ่ออยู่กับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปลายปี 2560
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
เส้นทางการเมืองเริ่มกลับมาสงบเงียบอีกครั้ง ในช่วงที่หลายฝ่ายกำลังจดจ่ออยู่กับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปลายปี 2560 บรรดานักการเมือง หรือกลุ่มการเมือง หรือภาคประชาชนที่เคยออกมาเคลื่อนไหวในประเด็นต่างๆ เริ่มลดบทบาทและนับถอยหลังวันที่ทุกอย่างจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ
หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้คนการเมืองต้องลดบทบาทตัวเองเป็นเพราะต้องหันไปให้ความสนใจกับคดีความต่างๆ ที่ติดตัวเรื่อยมาตั้งแต่ก่อนรัฐประหาร และหลายคดีศาลกำลังใกล้จะถึงกำหนดการตัดสิน
รวมไปถึงหลายคดีก่อนหน้านี้ ที่เริ่มเห็นนักการเมืองทยอยติดคุกและกำลังถูกไล่เบี้ยทวงเงินคืนหลวง
สอดรับไปกับแนวคิด เรื่อง “เซตซีโร่” ล้างไพ่ระบบการเมืองใหม่ตามที่มีความพยายามผลักดันหลายระลอก ตั้งแต่ช่วงเริ่มร่างรัฐธรรมนูญเรื่อยมาจนถึงขั้นตอนการออกกฎหมายลูก
นักการเมืองหลายคนจึงพยายามเก็บเนื้อเก็บตัวไม่สร้างปัญหาที่จะไปซ้ำเติมคดีความที่อยู่ในระบบ รวมทั้งไม่ไปดำเนินการใดๆ ที่จะท้าทายคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และแม่น้ำสายต่างๆ ที่มีอำนาจหน้าที่วางกรอบกติการะบบการเมืองใหม่ ตั้งแต่การกำหนดคุณสมบัติคัดคนที่เข้าสู่เส้นทางการเมือง
ดังจะเห็นเริ่มมีกระแสออกมา “ดักคอ” การสลายขั้วการเมือง และการตั้งกฎระเบียบสกัดนักการเมืองที่เข้มงวดจนเสมือนเป็นการกันนักการเมืองเก่าที่หลายคนล้วนแต่ต้องเผชิญคดี
ทว่าไม่ใช่เพียงแค่นักการเมืองเท่านั้นที่กำลังต้องเผชิญวิบากกรรม แต่บรรดากลุ่มการเมืองสีเสื้อต่างๆ ก็กำลังเผชิญกับคำตัดสินของศาล ที่แน่นอนว่าสุดท้ายก็ย่อมส่งผลต่อทิศทางการเคลื่อนไหวทางการเมือง ทั้งในปัจจุบัน และอนาคตต่อไป ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม
ล่าสุด ศาลอาญาพิพากษาลงโทษจำคุก แทน เทือกสุบรรณ บุตรชาย สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการ กปปส. 3 ปี ในคดีการบุกรุกที่ดินของรัฐและป่าในพื้นที่เขาแพง อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 และประมวลกฎหมายที่ดิน
ไม่ว่าจะอย่างไร เรื่องนี้ก็ย่อมส่งผลต่อทิศทางการเคลื่อนไหว รวมถึงพลังการเคลื่อนไหวของ กปปส.อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เพราะในฐานะที่ออกมาเรียกร้องต่อสู้เพื่อความถูกต้องแต่กลับต้องมาเจอเรื่องนี้ ย่อมทำลายความน่าเชื่อถือและความเชื่อมั่น แถมยังซ้ำเติมแผลเก่าเมื่อสมัย ส.ป.ก. 4-01 ในอดีต
ยังไม่รวมกับบรรดาคดีต่างๆ ของแกนนำ กปปส. ที่ได้มาระหว่างช่วงการชุมนุมและจ่อรอเข้าสู่การพิจารณา ที่นับวันมีแต่จะบั่นทอนพลังการเคลื่อนไหวมากขึ้น
ไม่ต่างจากทางฝั่งแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่แกนนำหลายคนล้วนแต่ต้องเผชิญหน้ากับการถูกดำเนินคดีหลายเรื่อง หลายเรื่องก็เป็นคดีที่มีโทษสูงคาบเกี่ยวกับการก่อการร้าย
จตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. หนึ่งในแกนนำที่ถูกดำเนินคดีจำนวนไม่น้อยหลายคดีผ่านศาลชั้นต้นแล้ว แต่ยังอยู่ระหว่างการประกันตัวออกมาสู้คดี
คดีร้ายแรงที่สุด คือ การก่อการร้ายในความผิดฐานร่วมกันใช้ หรือสนับสนุนให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานก่อการร้าย (คดีหมายเลขดำที่ อ. 2542/2553) ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาร่วมกับพวก 5 คน จตุพร วีระกานต์ มุสิกพงศ์ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เหวง โตจิราการ และ นิสิต สินธุไพร
ทว่า ล่าสุดทางอัยการได้ออกมายื่นเรื่องต่อศาลขอให้เพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราวของทั้ง 5 คน เนื่องจากทำผิดเงื่อนไขห้ามกระทำการที่มีลักษณะเป็นการดูหมิ่นผู้อื่น หรือยั่วยุปลุกปั่น ปลุกระดม เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน วุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง หรืออาจก่อให้เกิดอันตรายกระทบต่อเกียรติยศ ชื่อเสียง และความเป็นอยู่ส่วนตัวของบุคคลอื่น หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือกระทำการใดๆ เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน
ซึ่งจากเดิมศาลนัดการไต่สวนเพื่อถอนประกันจากเดือน ม.ค. 2560 มาเป็นวันที่ 3 ต.ค.นี้ จึงยิ่งสั่นคลอนการเคลื่อนไหวนับจากนี้ เพราะหากพลาดพลั้งย่อมต้องทำให้แต่ละคนกลับไปถูกควบคุมตัวในระหว่างการสู้คดี
อีกด้านทางฝั่งเสื้อเหลืองกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเองก็ระส่ำไม่แพ้กลุ่มอื่น เพราะทาง สนธิ ลิ้มทองกุล ล่าสุดถูกศาลฎีกายืนยันคำพิพากษาจำคุก 20 ปี จากการกระทำผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 กรณีทำเอกสารเท็จค้ำประกันเงินกู้ธนาคารกรุงไทยกว่าพันล้านบาท
นอกจากหัวขบวนแล้วทางแกนนำพันธมิตรฯ คนอื่นๆ 98 คน ยังอยู่ระหว่างการลุ้นคดีบุกรุกท่าอากาศยานดอนเมืองและสุวรรณภูมิ นอกจากคดีอาญาแล้ว ยังจะถูกดำเนินคดีฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งด้วย
คดีทั้งหลายเหล่านี้ ล้วนแต่ทำให้แกนนำต้องระมัดระวังตัวและให้ความสำคัญกับการไปต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรม และนั่นย่อมมีส่วนสะกดให้การเคลื่อนไหวของกลุ่มสีเสื้อต่างๆ ขาดพลังที่จะออกมาเคลื่อนไหวทั้งในปัจจุบันและในอนาคต