posttoday

คิกออฟแก้หนี้ ของดีเพื่อมวลชน

16 สิงหาคม 2553

ในวันนี้รัฐบาลกำลังจะคิกออฟโครงการแก้หนี้นอกระบบอีกครั้ง โดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานในพิธีเปิดตัว “บัตรลดหนี้ วินัยดีมีวงเงิน” และร่วมเสวนา “ชีวิตใหม่ ปลอดหนี้นอกระบบ” ร่วมกับ กรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ที่เป็นพ่องานในการจัดงานครั้งนี้

ในวันนี้รัฐบาลกำลังจะคิกออฟโครงการแก้หนี้นอกระบบอีกครั้ง โดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานในพิธีเปิดตัว “บัตรลดหนี้ วินัยดีมีวงเงิน” และร่วมเสวนา “ชีวิตใหม่ ปลอดหนี้นอกระบบ” ร่วมกับ กรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ที่เป็นพ่องานในการจัดงานครั้งนี้

โดย....ทีมข่าวการเงิน

 

คิกออฟแก้หนี้ ของดีเพื่อมวลชน

แนวคิดแก้หนี้ทั้งระบบแบบครบวงจรครั้งนี้ เกิดจากการสัมมนาประจำปีของพรรคประชาธิปัตย์ที่ จ.ภูเก็ต ที่มี สส. และผู้ให้การสนับสนุนเสนอให้ประชาธิปัตย์เดินหน้ามาตรการแก้หนี้คนจนต่อไป

เพราะเสียงของประชาชนบ่งชี้ออกมาว่าเป็นมาตรการที่เห็นผลเป็นรูปธรรม สร้างฐานเสียงได้แบบทวีคูณ

ไม่ใช่แค่ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว แต่มีโอกาสสูงมากที่คนนับ 10 ล้านคน จะเทคะแนนเสียงให้ประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป

ภายใต้เงื่อนไขว่าหากรัฐบาลเดินหน้าแก้หนี้คนจนรอบนี้สามารถทำได้ให้เห็นเป็นรูปธรรม

 เสียงสะท้อนดังกล่าวนำมาซึ่งการออกมาตรการแก้หนี้นอกระบบรอบ 2 มุ่งเป้าไปที่คนมากกว่า 2.3 ล้านคน หลังจากรอบแรกที่เปิดให้ประชาชนที่มีปัญหาหนี้สินนอกระบบถูกเจ้าหนี้โขกดอกเบี้ยโหดกว่า 1.18 ล้านราย คิดเป็นมูลหนี้รวมกันกว่า 1.22 แสนล้านบาท ได้ลงทะเบียนเมื่อปลายปี 2552 ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสแก้ตัวด้วยการโอนหนี้สินเข้าสู่ระบบของธนาคารรัฐ

ล่าสุด มียอดอนุมัติสินเชื่อลูกหนี้นอกระบบ ณ วันที่ 9 ส.ค. 2553 รวมแล้วเป็นจำนวนกว่า 3.61 แสนราย เป็นเงินกว่า 3.34 หมื่นล้านบาท

งานนี้ รมว.คลัง เคลมว่าสามารถช่วยประชาชนให้สามารถลดภาระดอกเบี้ยไปได้กว่า 4,000 ล้านบาทแล้ว

เป็นการคิดบนฐานดอกเบี้ยนอกระบบที่โหดมหาโหด ที่แปลงกลับมาใช้ดอกเบี้ยในระบบแค่เดือนละ 1%

แต่ที่ “สุดยอด” กว่านั้นคือ รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังกำลังจะเปิดตัว “บัตรลดหนี้ วินัยดีมีวงเงิน” เป็นเหมือนบัตรประจำตัวของลูกหนี้ที่เข้าโครงการแก้หนี้นอกระบบ

คุณสมบัติพิเศษคือ สามารถใช้บัตรนี้ยื่นชำระค่างวดโครงการแก้หนี้นอกระบบได้ทุกสาขาของธนาคารที่เข้าร่วมโครงการแก้หนี้นอกระบบของรัฐบาลทั้ง 6 แห่ง ได้แก่...

ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือเอสเอ็มอีแบงก์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย และธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) แล้ว

บัตรยังมีดีตรงที่สามารถใช้เป็นบัตร “เอทีเอ็ม” กดเงินสดได้ในกรณีเร่งด่วน

ภายใต้เงื่อนไขว่าลูกหนี้รายดังกล่าวจะต้องเป็นผู้ที่มีวินัยดี สามารถชำระหนี้ได้ครบตามข้อตกลงติดต่อกัน 1 ปี จะสามารถกดเงินสดไปใช้เสริมสภาพคล่องได้ 50% ของวงเงินที่ชำระได้ทันที “เหมือนโชค 2 ชั้น”

เพราะนอกจากจะถูกปลดเปลื้องภาระหนี้สินจากเจ้าหนี้นอกระบบ และถูกดึงเข้าสู่ระบบเสียดอกเบี้ยเฉลี่ยเพียง 1% ต่อเดือนได้แล้ว

ยังมีโอกาสได้กดเงินสดตามวงเงินที่เปิดไว้เพื่อให้คนเหล่านั้นเอาไปใช้ในกรณีเร่งด่วนอีกด้วย

และกรณีที่สามารถชำระหนี้ได้ทั้งหมดก็มีโอกาสที่จะกดเงินสดได้ตามวงเงินที่ชำระไปทั้งหมดเช่นกัน เหมือนเป็นการเปิดวงเงินโอดีให้ลูกหนี้ เช่น กรณีที่ลูกหนี้ทำข้อตกลงจะชำระหนี้ 1 แสนบาท ผ่านไปปีแรกสามารถชำระหนี้ได้ 5 หมื่นบาท ลูกหนี้รายนั้นสามารถกดเงินสดมาใช้ได้ทันที 50% หรือ 2.5 หมื่นบาท

ต่อมาลูกหนี้รายดังกล่าวยังสามารถชำระหนี้ทั้งหมด 1 แสนบาทได้ตามข้อกำหนด เท่ากับลูกหนี้รายนั้นสามารถกดเงินตามจำนวนเงินที่ 1 แสนบาทได้ทันทีเช่นกัน

วิธีการที่ว่านี้ถือว่าเป็นการตัดวงจรหนี้นอกระบบ จึงยอมให้ลูกหนี้สามารถกดเงินสดจากธนาคารที่เข้าโครงการแล้วเสียดอกเบี้ย 1% แทนการหันไปพึ่งเจ้าหนี้นอกระบบอีก

 จะเห็นว่าการเดินหน้ามาตรการแก้หนี้นอกระบบครั้งที่ 2 นี้ถือว่าเป็นการเดินหน้าทำแบบครบวงจร ให้ความช่วยเหลือคนทุกกลุ่มที่เดือดร้อนรวมกว่า 2.3 ล้านคน คิดเป็นมูลหนี้รวม 1.6 ล้านล้านบาท
ประกอบด้วย ลูกหนี้นอกระบบที่มีการขึ้นทะเบียนประชาชนไปแล้ว 1 ล้านคน มูลหนี้ร่วมกว่า 1 แสนล้านบาท

ยังมีหนี้สินของประชาชนที่เป็นหนี้บัตรเครดิตของสถาบันการเงินและไม่ใช่สถาบันการเงินอีก 2 แสนคน มูลหนี้ร่วม 1 แสนล้านบาท

หนี้สินของกลุ่มเกษตรกรทั้งในส่วนของกองทุนฟื้นฟูเกษตรกรที่อยู่ภายใต้การดูแลของ ธ.ก.ส. อีกประมาณ 5-7 แสนคน มูลหนี้ร่วม 3.6 แสนล้านบาท

กลุ่มสุดท้ายที่เพิ่งดึงเข้าโครงการได้สดๆร้อน ๆ โดยการผลักดันของ ชินวรณ์ บุณยเกียรติ รมว.ศึกษาธิการ คือการแก้หนี้สินของบรรดาข้าราชการครูทั้งประเทศอีก 89 แสนคน

แยกเป็นครูจำนวน 4 แสนคน ที่เป็นหนี้กับสหกรณ์ออมทรัพย์ต่างๆ ทั่วประเทศ 87 แห่ง มูลหนี้ร่วม 7 แสนล้านบาท

หนี้กลุ่มข้าราชการครูที่กู้เงินจากโครงการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) อีก 3 แสนคน มูลหนี้รวม 1.7 แสนล้านบาท

หนี้ข้าราชการครูที่กู้ยืมเงินในโครงการพัฒนาชีวิตครูอีก 6 หมื่นคน วงเงิน 5 หมื่นล้านบาท

หนี้ของกลุ่มครูที่กู้ยืมจากกองทุนหมุนเวียนอีก 8,000-9,000 คน มูลหนี้รวม 1,500 ล้านบาท

แต่ที่เหนือชั้นกว่านั้นคือ แนวทางในการป้องกันความเสี่ยงจากการปล่อยกู้ในโครงการนี้ ซึ่งรัฐบาลนี้ได้พยายามหาช่องทางอุดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นกับสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้

รวมถึงความเสี่ยงจากการโจมตีของพรรคฝ่ายค้าน ด้วยการดึงบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) มาค้ำประกันลูกหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน

ขณะเดียวกันเตรียมให้รัฐมัดลูกหนี้ทั้งหมดเอาไว้เป็นก้อนเดียวกันเพื่อส่งให้บริษัทประกันของรัฐ ได้แก่ ทิพยประกันภัย และกรุงไทยแอกซ่าประกันชีวิต เข้ามาเป็นผู้รับประกันความเสี่ยงของลูกหนี้ออกไปจากอ้อมกอดของรัฐ

ถือเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์การใช้ธนาคารรัฐเป็นแขนขาของรัฐบาลในการปล่อยสินเชื่อเข้าระบบแบบที่มีการทำประกันเพื่อป้องกันความเสียหายที่เกิดจากการปล่อยกู้ให้กับลูกค้ากลุ่มเสี่ยงเป็นครั้งแรก
แต่โจทย์สำคัญที่รัฐบาลจะต้องคิดอย่างหนัก คือ การหากระบวนการฟื้นฟูลูกหนี้ ทั้งเรื่องวิธีการคิด วิธีการใช้เงิน และการฟื้นฟูอาชีพ ไม่ให้ลูกหนี้หวนกลับไปพึ่งแหล่งเงินจากเจ้าหนี้นอกระบบอีก

คราวนี้ถือว่าการเดินหน้าแก้หนี้คนจนแบบครบวงจร และการแก้หนี้รอบนี้ เรียกได้ว่าน่าจะสร้างความฮือฮาด้วยการดึงนวัตกรรมบัตรพลาสติกมาใช้กดเงินสดได้ทันทีถ้าจ่ายหนี้ตรงเวลา

แม้มาตรการนี้น่าจะเรียกเสียงเฮจากพี่น้องชาวรากหญ้าได้นับ 10 ล้านคน แต่ถ้ารัฐบาลสั่งธนาคารรัฐลุยแก้หนี้มูลค่ามหาศาลนับล้านล้านบาทเช่นนี้ โดยที่ไม่ยอมปิดจุดอ่อนคือเรื่องความเสี่ยงและคุณภาพของลูกหนี้ให้ได้จริงๆ ก่อน

อนาคตอาจได้เห็นธนาคารรัฐยักษ์ใหญ่หลายแห่งฐานะการเงินทรุด เพราะต้องจมกองหนี้เน่าจากมาตรการแก้หนี้นอกระบบของรัฐในครั้งนี้ก็ได้

แต่หากสามารถแก้จุดบอดในเรื่องความสุ่มเสี่ยงจากการแก้หนี้แล้วหวนกลับเป็นหนี้เสียใหม่ แล้วสร้างโอกาสให้คนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินและสามารถนำแหล่งเงินที่รัฐยื่นมา มาช่วยเหลือให้เขาเหล่านั้นได้มีโอกาสสร้างเนื้อสร้างตัวได้มากเท่าไหร่ ความชื่นชมจากการดำเนินนโยบายเหล่านั้นจะหวนมาโอบอุ้มรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ไม่น้อยกว่า 2-3 เท่าตัว