ปชป. เอ็นจีโอ ตัวแปรชี้ขาดประชามติ
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับ มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) และคณะ 279 มาตรา ถูกส่งถึงมือคณะรัฐมนตรี (ครม.)
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับ มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) และคณะ 279 มาตรา ถูกส่งถึงมือคณะรัฐมนตรี (ครม.) และกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นที่เรียบร้อย
รอชี้ขาดกันที่ด่านสุดท้ายด้วยการออกเสียงประชามติ ในวันที่ 7 ส.ค.นี้ ซึ่งถือเป็นเดิมพันครั้งสำคัญของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อันจะมีผลต่อเส้นทางตามโรดแมปต่อไป
ในแง่ “เนื้อหา” ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีทั้งจุดเด่นและจุดอ่อนที่ต้องชั่งน้ำหนักพิจารณาข้อดีข้อเสียก่อนตัดสินใจว่าจะเห็นพ้องให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นกติกาสูงสุดของประเทศต่อไปหรือไม่
จุดเด่นของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้อยู่ตรงที่มาตรการคัดครองบุคลากรเข้าสู่อำนาจ และมาตรการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ พร้อมบทลงโทษที่รุนแรง จนถูกขนานนามว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง ต่อเนื่องด้วยการวางโครงสร้างเพื่อรองรับการปฏิรูปในหลายเรื่อง
ส่วนจุดอ่อนที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ก็มีอยู่หลายประเด็น ทั้งเรื่องสิทธิ ระบบเลือกตั้ง สส. ที่มาของนายกรัฐมนตรี ตลอดจนความเคลือบแคลงว่ามีเบื้องหลังสกัดขั้วอำนาจเก่าไม่ให้กลับมาสู่ถนนการเมือง
แถมล่าสุดยังถูกซ้ำเติมด้วยข้อกังขาเรื่องเปิดทาง “สืบทอดอำนาจ” ตามใบสั่ง คสช.
แรงเสียดทานที่เกิดขึ้นทำให้ คสช. ส่งสัญญาณผลักดันร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้อย่างจริงจัง เริ่มตั้งแต่ “เชือดไก่” เรียกกลุ่มป่วนที่คัดค้านร่างรัฐธรรมนูญมาปรับทัศนคติเพื่อตัดตอนกระแสต้านไม่ให้ลุกลามบานปลายกลายเป็นปัญหาในอนาคต
แถมยังส่ง รด.และทีมงานลงไปในพื้นที่ชี้แจงข้อดีของร่างรัฐธรรมนูญ ช่วยกระตุ้นเสียงรับร่างรัฐธรรมนูญ
ดังนั้น จึงประเมินได้ยากว่าผลการออกเสียงประชามติจะออกมาอย่างไร โดยเฉพาะยังมีเวลาอีกนานนับ 4 เดือน ซึ่งไม่รู้ว่า ณ เวลานั้น กระแสสังคมจะคิดเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้อย่างไร
ทว่า หากวิเคราะห์ตามปัจจัยแวดล้อมต่างๆ แล้ว “ตัวแปร” ที่จะชี้ขาดผลการออกเสียงประชามติ อยู่ที่ฐานเสียง 2 กลุ่ม คือ ประชาธิปัตย์ และเอ็นจีโอ
แน่นอนว่าในสังคมมีกลุ่มที่เปิดตัว “เห็นด้วย” และ “คัดค้าน” ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ตั้งแต่ กรธ.ยังไม่ทันได้ลงมือเขียนสักมาตรา
กลุ่มที่คัดค้านชัดเจน ได้แก่ เพื่อไทยและกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือ เสื้อแดง ที่เปิดหน้าออกมาถล่มไม่เห็นด้วยทั้งเนื้อหาและกระบวนการร่างตั้งแต่ต้น
ถึงขั้นประกาศเตรียมออกมารณรงค์ “ไม่รับ” ร่างรัฐธรรมนูญ ก่อนจะถูกปรามด้วยมาตรการกดดันทั้งทางตรงและทางอ้อมจาก คสช.
แต่สุดท้าย ไม่ว่าเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญจะออกมาอย่างไร กลุ่มประชาชนที่สนับสนุนทั้งพรรคเพื่อไทยและเสื้อแดงย่อมต้องโหวตไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ
ที่สำคัญฐานเสียงของเพื่อไทยและเสื้อแดงนี้เป็นฐานที่เหนียวแน่นและมีจำนวนอยู่ไม่น้อย หากกลุ่มนี้ออกมาลงคะแนนไม่เห็นด้วยมากเท่าไร ย่อมทำให้โอกาสที่ร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติมีสูง
ส่วนกลุ่มที่ “สนับสนุน” ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นฐานเสียงจาก กปปส. เดิมครั้งหนึ่งเคยออกมารวมตัวเรียกร้องขับไล่ขั้วอำนาจเก่า เรียกร้องการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง
อีกทั้งยังเคยเรียกร้องให้กองทัพออกมาเคลียร์ทางตันหลังบ้านเมืองติดหล่มวิกฤตจนขยับไม่ได้
กลุ่มนี้แม้จะมีจำนวนไม่มากเท่าฐานเสียงเพื่อไทยหรือกลุ่มคนเสื้อแดง แต่ก็มีจำนวนไม่น้อย แถมหัวขบวนอย่าง สุเทพ เทือกสุบรรณ ประกาศตัวออกสนับสนุนการเคลื่อนไหวของ คสช.แบบเต็มสูบ งานนี้จึงมีฐานคะแนนกลุ่มหนึ่งตุนไว้ในกระเป๋า
แต่ตัวแปรที่สำคัญ คือ พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเวลานี้ยังสงวนท่าทีขอรอศึกษาข้อดีข้อเสียก่อนจะมีความเห็นอย่างหนึ่งอย่างใด
ทว่า ด้วยฐานเสียงทั่วประเทศที่มีอยู่ไม่น้อย และเหนียวแน่น แม้จะไม่เท่ากับฐานของเพื่อไทยและเสื้อแดง แต่หากประชาธิปัตย์เทน้ำหนักไปทางหนึ่งทางใดย่อมมีผลต่อประชามติอย่างมีนัยสำคัญ
เทียบเคียงจากคะแนนบัญชีรายชื่อที่เคยเลือกประชาธิปัตย์
หมายความว่าหากประชาธิปัตย์ประกาศจุดยืน “ไม่เห็นชอบ” ร่างรัฐธรรมนูญย่อมเป็นการตอกฝาโลง ปิดโอกาสที่ร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านประชามติ แต่หากประชาธิปัตย์ “เห็นชอบ” ก็จะทำให้เสียงสนับสนุนเพิ่มขึ้นมาใกล้เคียงกับเสียงไม่เห็นชอบ
อีกเสียงชี้ขาดที่สำคัญจึงอยู่ที่กลุ่มเอ็นจีโอทั่วประเทศ ซึ่งมีเครือข่ายเหนียวแน่น และมีจำนวนไม่น้อย หากทั้งหมดผนึกกำลังเทน้ำหนักไปทางใดย่อมมีผลต่อประชามติ
ปัญหาอยู่ที่จุดอ่อนเรื่องสิทธิ จากเดิมที่ กรธ.ถูกถล่มอย่างหนักเพราะร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไปลดสิทธิที่เคยมีในรัฐธรรมนูญฉบับก่อนๆ หน้า จนสุดท้าย กรธ.ต้องยอมปรับแก้ ให้เรื่องสิทธิกลับมาครอบคลุมดังเดิม
ที่สำคัญเสียงของเอ็นจีโอยังมีพลังโน้มน้าวชี้นำพลเมืองกลุ่มอื่นๆ ในสังคมให้คล้อยตาม โดยเฉพาะเหตุผลการรับหรือไม่รับเกี่ยวข้องกับเรื่องสิทธิเป็นสำคัญ
ดังนั้น ตัวแปรชี้ขาดประชามติ จึงอยู่ที่ ประชาธิปัตย์ และเอ็นจีโอ ขึ้นอยู่ว่าสุดท้ายจะมีท่าทีจุดยืนอย่างไร