posttoday

สีแดงรวมพลังรุกคืบ แก้มือรอบใหม่-เลือกใหญ่สก.-สข.

28 กรกฎาคม 2553

ชัยชนะของประชาธิปัตย์ที่ พนิช วิกิตเศรษฐ์ มีชัยเหนือ ก่อแก้ว พิกุลทอง ผู้สมัครในคุกของเพื่อไทย

ชัยชนะของประชาธิปัตย์ที่ พนิช วิกิตเศรษฐ์ มีชัยเหนือ ก่อแก้ว พิกุลทอง ผู้สมัครในคุกของเพื่อไทย

โดย...ทีมข่าวการเมือง

 

สีแดงรวมพลังรุกคืบ แก้มือรอบใหม่-เลือกใหญ่สก.-สข.

แต่หลายฝ่ายกลับเห็นว่า ผลเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ แม้ประชาธิปัตย์ชนะ แต่ในทางการเมืองถือว่าแพ้ยับ

ขณะที่เพื่อไทยแม้จะแพ้ แต่ถือว่าเป็นชัยชนะที่พิสูจน์ได้ว่า ยังมีฐานเสียงแข็งแกร่ง มั่นคง

เพราะหากจะพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า ประชาธิปัตย์ชนะใส กระแสเสื้อแดงตกฮวบในเมืองกรุง คะแนนต้องทิ้งขาดมากกว่านี้ จนพอตีความได้ว่า คนกรุงชานเมืองปฏิเสธเสื้อแดงอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด จากผลพวงเหตุการณ์พฤษภา 2553 จนพากันเทใจไม่เลือกผู้สมัคร สส. ที่ตกเป็นผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย

แต่คะแนนที่ห่างกันแค่ 14,704 คะแนน โดยพนิชได้ 96,480 ก่อแก้วได้ 81,776 คิดเป็น 78% จากเดิมที่นักรัฐศาสตร์ประเมินว่า ประชาธิปัตย์จะทิ้งห่างถึง 30% เล่นเอานักวิเคราะห์สำนักดังทั้งหลายต้องหน้าแหก !!

ความได้เปรียบที่ประชาธิปัตย์ถืออำนาจรัฐคง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ได้สื่อทีวีเป็นพันธมิตร มีผู้ว่าฯ กทม. เป็นคนของประชาธิปัตย์ กลับไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก

หรือการวิเคราะห์จากผลการเลือกตั้ง สข. 14 เขต เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. ในกระแสแผลเผาเมืองยังสดอยู่ ซึ่งเพื่อไทยแพ้กระจุยให้กับประชาธิปัตย์ถึง 10 เขต โดยคนในรั้วตื่นตัว ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งท้องถิ่น เพื่อส่งสัญญาณบอกเพื่อไทยว่า “ฉันไม่เอาความรุนแรง”

แม้แต่เพื่อไทยเองก็ยังไม่เชื่อว่า การเลือกตั้งในกระแสก่อการร้ายจะสูสี คู่คี่ ขนาดนี้ เวทีปราศรัยที่คึกคักด้วยคนเสื้อแดง กระทั่งโค้งสุดท้ายที่สวนสยาม ก็อาจเข้าทำนอง “เสียงดี แต่ไม่มีคะแนน” เพราะเป็นแฟนคลับแดงถิ่นอื่นที่ตามมาฟังปราศรัย

ปมที่สองฝ่ายเกทับกันอยู่ว่าไม่ได้แพ้ นั่นคือ ครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งซ่อมภายใต้ช่วงเทศกาลหยุดยาว ทำให้คนมาใช้สิทธิน้อยเกินคาด คือ 49% จากที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ตั้งเป้าไว้ 60%
ฝั่งประชาธิปัตย์ บอกว่า ถ้าเลือกตั้งในวันหยุดปกติ พนิชจะได้คะแนนมากกว่านี้เลยหลักแสนขึ้น เพราะช่วงเทศกาลคนเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัดมาก ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนชั้นกลาง มีกำลังซื้อ และกลุ่มนี้ไม่เอาเสื้อแดง

ขณะที่เพื่อไทย วิเคราะห์ว่า ถ้ารัฐบาลและ กกต. ไม่จัดเลือกตั้งช่วงหยุดยาว ก่อแก้วจะได้เป็น สส. แน่ เพราะคนที่เดินทางไปจังหวัดส่วนใหญ่เป็นรากหญ้าที่กลับบ้าน คนกลุ่มนี้เลือกเพื่อไทยแน่ๆ ส่วนคนชั้นกลางที่ไปเที่ยวนั้น ได้ลงคะแนนเลือกประชาธิปัตย์ผ่านการเลือกตั้งซ่อมล่วงหน้าไปแล้ว ซึ่งประชาธิปัตย์ชนะครึ่งต่อครึ่ง

แต่ทั้งหลายทั้งปวง ปฏิเสธไม่ได้ว่า แฟนคลับเสื้อแดงในแถบชานเมือง ไม่ได้น้อยลงอย่างที่คาด

ความพ่ายแพ้ที่เกือบชนะ ทำให้เพื่อไทยและเสื้อแดงมีกำลังใจขึ้นมาก โดยเฉพาะในพื้นที่เขต 6 ชนบทเมืองกรุงที่เต็มไปด้วย “บึงหนองคลองคันนา” แม้จะเคยเป็นฐานเสียงของพรรคมาก่อน แต่กระแสเมืองกรุงค่อนข้างวูบวาบ อ่อนไหว พลิกผันเร็ว อะไรก็เกิดขึ้นได้

ลึกๆ แล้ววอลุม กทม. ของเพื่อไทยก็ไม่มั่นใจว่า คนกรุงจะตอบรับหรือเชื่อในคำชี้แจงของพรรค กระทั่งเกรงว่าจะถูกต่อต้านในการลงพื้นที่ ส่วนข้อหาก่อการร้าย ก็อาจเป็นตัวถ่วงคะแนนก็เป็นได้

แต่โค้งสุดท้ายพรรคได้งัดกลยุทธ์เปิดปราศรัยถี่ยิบ นำโดย “เฉลิมจตุพร” และแกนนำสีแดง โจมตีรัฐบาลเรื่องการใช้กำลังเข้าปราบปราม การทุจริต การประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฯลฯ

ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็เสียแต้มถูกคมอีกด้านของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินบาดเอง หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจอุ้มตัว “นที สรวารี” นักเคลื่อนไหวในกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง เข้ารถผู้ต้องหาที่ไปยืนตะโกน “ที่นี่มีคนตาย” ที่แยกราชประสงค์ และการคุมตัวนักศึกษาถือป้ายต้าน พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่เชียงราย มาดำเนินคดี เป็นภาพที่สะเทือนใจว่า เจ้าหน้าที่รัฐทำเกินกว่าเหตุ

แรงฮึกเหิมครั้งนี้ช่วยให้เพื่อไทยที่อยู่ในช่วงแตกแยก ชิงอำนาจกันเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ท่อน้ำเลี้ยงอุดตันในภาคอีสาน หันมารวมพลังเป็นหนึ่ง

แกนนำพรรคสีแดงเชื่อว่า ยุทธวิธีที่เดินอยู่ถูกต้อง นั่นคือ ใช้เหตุการณ์การชุมนุมที่คนเสื้อแดงเสียชีวิต แปรมาเป็นคะแนนเสียงให้เพื่อไทย และย้ำถึงผลงานในสมัยเป็นรัฐบาลไทยรักไทย พลังประชาชน ว่าพูดจริงทำจริง เป็นต้นตำรับนโยบายประชานิยมที่รัฐบาลประชาธิปัตย์กำลังเดินตาม แม้จะเบิ้ลหนีเป็นรัฐสวัสดิการแต่ก็ยังไม่พ้นกรอบประชานิยม

ส่วนรัฐบาลที่กำลังปั่นยอดตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ให้ได้ 8% จากครึ่งปีนี้อยู่ที่ 6% เพื่อเป็นผลงานที่จะอ้างในช่วงหาเสียง แต่เพื่อไทยซึ่งได้แต่เฝ้ารอให้เวลาของรัฐบาลหมดไปเรื่อยๆ เชื่อว่าโดยธรรมชาติแล้วรัฐบาลยิ่งอยู่ก็ยิ่งเสื่อม โดยเฉพาะปัญหาทุจริตที่พรรคร่วมจะเร่งตะกรามเพื่อสะสมทุนใช้ในการเลือกตั้ง

ที่ต้องติดตาม คือ การขับเคลื่อนของพลพรรคสีแดงจากนี้ จะเป็นโครงการเดินสาย “ปลุกป่าล้อมเมือง” โดยเพื่อไทยและเสื้อแดงจะวิ่งหาฐานเสียงเสื้อแดงที่ชนบท ซึ่งสัปดาห์นี้ขุนพลพรรคได้ฤกษ์ประเดิมปราศรัยใหญ่พบปะหัวคะแนนเสื้อแดงที่จ.ลำปาง กำแพงเพชร ศรีสะเกษ สุรินทร์ ส่วนแกนนำเสื้อแดงมีคิวเจาะที่ภาคกลาง จ.สมุทรสาคร ก่อนจะบุกไปภาคอีสานและภาคเหนือ

สำหรับพื้นที่ กทม. หลังจากผ่านศึกเลือกตั้งซ่อมเขต 6 จะมีเป็นศึกใหญ่ที่สองพรรคจะได้แก้มือ นั่นคือ การเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพ (สก.) และสมาชิกสภาเขต (สข.) ที่จะหมดวาระลง โดย สก. มีทั้งหมด 50 เขต รวม 61 คน สข. 36 เขต 256 คน มีกำหนดเลือกตั้งพร้อมในวันที่ 29 ส.ค.

ปัจจุบันเพื่อไทยมี สก. 19 คน ตั้งเป้าขอเพิ่มอีก 8 ที่นั่ง หรือขอครึ่งหนึ่ง ถึงจะเข้าเป้า

เลือกตั้งซ่อมครั้งนี้แค่ชานเมือง เขตเลือกตั้งเดียว รวม 5 สำนักงานเขต ยังไม่ใช่คำตอบสำหรับการวัดกระแสใน กทม.

ของจริงคือ เลือกตั้ง สก.สข. ทั่วกรุง ที่จะวัดกระแสให้หายคาใจกันอีกรอบว่า ประชาธิปัตย์หรือเพื่อไทย