posttoday

ถอดยศ ‘ทักษิณ’ ระเบิดเวลารอบใหม่

10 กันยายน 2558

หลังจากยืดเยื้อคาราคาซังมานาน ในที่สุด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

หลังจากยืดเยื้อคาราคาซังมานาน ในที่สุด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ได้ถูกเปลี่ยนสรรพนามนำหน้าชื่อใหม่เป็น “นายทักษิณ” เป็นที่เรียบร้อย โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ. 2557 ดำเนินการด้วยตัวเองเมื่อวันที่ 5 ก.ย.ที่ผ่านมา

“ตามที่สํานักงานตํารวจแห่งชาติได้รายงานและเสนอเรื่อง การถอด พันตํารวจโท ทักษิณ ชินวัตร ออกจากยศตํารวจ ในกรณีมีความผิดปรากฏชัดตามคําพิพากษาศาลถึงที่สุดแล้วว่า มีความผิดและยังมี
ข้อหาความผิดอาญาอื่นๆ อีกหลายฐาน ซึ่งเป็นการเสื่อมเสีย

หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 โดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นกรณีกระทบต่อความมั่นคงของชาติและมีความจําเป็นต้อง ดําเนินการเป็นการด่วน ทั้งได้ตรวจสอบข้อกฎหมายตามระเบียบสํานักงานตํารวจแห่งชาติว่าด้วยการถอดยศตํารวจ พ.ศ. 2547 และข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่ามีมูล สมควรใช้อํานาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงมีคําสั่งให้ถอด พันตํารวจโท ทักษิณ ชินวัตร ออกจากยศตํารวจ ตามพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547”

การใช้อำนาจตามมาตรา 44 ครั้งนี้ของ พล.อ.ประยุทธ์ อาจเรียกว่าเป็นการลัดขั้นตอนก็ว่าได้ เนื่องจากตามกฎหมายเมื่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ได้พิจารณาเสร็จแล้วจะต้องมีการส่งเรื่องให้กับนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาและนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายต่อไป แต่ปรากฏว่า พล.อ.ประยุทธ์ ตัดสินใจใช้อำนาจพิเศษดำเนินการอย่างที่ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา

ท่าทีของอดีตนายกฯ ทักษิณ ต่อกรณีดังกล่าวนับว่าออกอาการไม่สบอารมณ์อยู่ไม่น้อย เพราะเมื่อวันที่ 7 ก.ย. มีการเผยแพร่คลิปวิดีโอของทักษิณถึงสองคลิป

คลิปแรกเป็นเสียงของทักษิณที่ระบุว่า “ไม่ยึดติด ตายไปก็เอาไปไม่ได้ ขำ ‘เด็ก’ ทำแต่เรื่องเล็กๆ เอาเป็นผลงาน” ส่วนอีกคลิปเป็นการพูดถึงการรัฐประหารว่า “ตอนแรกบอกจะปรองดอง ตอนนี้กลับเป็นการล้างเผ่าพันธุ์เสื้อแดง”

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการถอดยศที่เกิดขึ้นกำลังสร้างแรงกระเพื่อมทางการเมืองครั้งใหญ่

ถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ รู้ถึงปัญหานี้หรือไม่ แน่นอนว่าต้องทราบดีอยู่แล้ว เพราะการถอดยศทักษิณเป็นเรื่องร้อนตั้งแต่เมื่อครั้งที่ยังค้างการพิจารณาอยู่ใน สตช. แม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยังเคยบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนต้องพิจารณาให้รอบคอบ

ทว่ามาถึงจุดนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีทางเลือก เนื่องจากเมื่อ สตช.พิจารณาเสร็จและมีความเห็นแล้วว่าต้องถอดยศทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่สามารถพิจารณาเป็นอย่างอื่นได้นอกจากต้องสำเร็จโทษทักษิณ มิฉะนั้น พล.อ.ประยุทธ์ อาจถูกดำเนินคดีอาญาฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้ พร้อมกับถูกตั้งคำถามว่ากำลังสร้างความปรองดองในทางที่ผิดหรือไม่

สถานการณ์ทางการเมืองนับจากนี้เป็นเรื่องที่ต้องจับตาเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีความเป็นไปได้สูงที่ความขัดแย้งจะบานปลายและลุกลามพอสมควร

ต้องไม่ลืมว่าเวลานี้สถานการณ์ของรัฐบาลอยู่ในภาวะไม่มั่นคงเท่าไหร่นัก

ความไม่มั่นคงในที่นี้หมายถึงการบริหารประเทศโดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่อาจยังไม่เข้าตามากนัก ซึ่งย่อมเป็นแผลให้ฝ่ายพรรคเพื่อไทยนำมาขยายผลโจมตีรัฐบาลผ่านการจุดวาทกรรมว่า “มุ่งแก้แค้นมากกว่าการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชน”

จริงอยู่พรรคเพื่อไทยไม่สามารถออกมาเคลื่อนไหวแบบเต็มตัว แต่กระบวนการผลิตซ้ำวาทกรรมผ่านพื้นที่สื่อมวลชน ประกอบกับการมีมวลชนอยู่ในมือย่อมทำให้ชุดความคิดดังกล่าวแพร่หลายได้ในวงกว้างโดยที่ คสช.ไม่สามารถควบคุมได้

ยิ่งไปกว่านั้น ในระหว่างทางของการปฏิรูปประเทศเฟสสองอย่างการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ย่อมเป็นเป้าให้ฝ่ายตรงข้ามนำมาเป็นประเด็นได้อย่างง่ายดายอีกด้วย และจะเป็นโอกาสอันดีที่ฝ่ายการเมืองอาจมีอำนาจต่อรองมากขึ้น

เช่น การสร้างแรงกดดันเพื่อไม่ให้นำมาตรการคุมเข้มที่อยู่ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่เพิ่งถูกคว่ำมาอยู่ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เป็นต้น ด้วยการอ้างว่าอาจเป็นการทำลายบรรยากาศสร้างความปรองดอง

แบบนี้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ 21 คนอาจยอมโอนอ่อนเพื่อไม่ต้องการให้พรรคการเมืองนำไปขยายผลในระหว่างการทำประชามติ เพราะความพอใจหรือไม่พอใจของฝ่ายการเมืองย่อมมีผลต่อการทำประชามติอย่างมีนัยสำคัญด้วย

ถ้าพรรคการเมืองมีความพอใจต่อร่างรัฐธรรมนูญระดับหนึ่ง เมื่อการทำประชามติก็ไม่น่าจะมีปัญหา แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น คสช.คงต้องออกแรงเหนื่อยพอสมควรเพื่อผลักดันให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ผ่านการทำประชามติ

การถอดยศทักษิณกำลังสร้างอาฟเตอร์ช็อกให้กับการเมืองไม่น้อย และเป็นระลอกใหญ่ที่ คสช.อาจคาดไม่ถึงก็เป็นได้ เพราะมีการปฏิรูปประเทศมาเป็นเครื่องเดิมพันด้วย