posttoday

อีก 2 ปี เจอกัน !!! แผลในใจ กับ ความเจ็บปวด

25 มิถุนายน 2553

ผ่านมา 3 ปี ใต้ชายคาบ้านเลขที่ 111  นอกจากชื่อของ เจ๊หน่อย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ จะไม่ได้ห่างหายไปจากแวดวงการเมือง ตรงกันข้ามกลับถูกเชื่อมโยงไปเกี่ยวข้องกับ “เรื่องร้อน”  ที่เจ้าตัวบอกว่ามีแต่ผู้หวังดีพยายามดึงไปให้ไปเกี่ยวข้อง ทั้งที่พยายามขีดวงจำกัดบทบาทของตัวเองนับถอยหลังรอวันสู่อิสระภาพ นี่เป็นไม่กี่ครั้งกับการเปิดใจถึงความรู้สึกขณะนี้ ​ ​

ผ่านมา 3 ปี ใต้ชายคาบ้านเลขที่ 111  นอกจากชื่อของ เจ๊หน่อย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ จะไม่ได้ห่างหายไปจากแวดวงการเมือง ตรงกันข้ามกลับถูกเชื่อมโยงไปเกี่ยวข้องกับ “เรื่องร้อน”  ที่เจ้าตัวบอกว่ามีแต่ผู้หวังดีพยายามดึงไปให้ไปเกี่ยวข้อง ทั้งที่พยายามขีดวงจำกัดบทบาทของตัวเองนับถอยหลังรอวันสู่อิสระภาพ นี่เป็นไม่กี่ครั้งกับการเปิดใจถึงความรู้สึกขณะนี้ ​ ​

เริ่มจากเรื่องล่าสุดที่ถูกโยงเป็นหนึ่งใน “ท่อน้ำเลี้ยง”  สนับสนุนการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงจนถูกแช่แข็งธุรกรรมการเงินที่ คุณหญิงสุดารัตน์ ​มองว่า น่าจะมาจากที่ตัวเธอเองอาจจะเป็นคู่แข่งทางการเมืองในพื้นที่กทม. กับพรรคประชาธิปัตย์ได้ในวันที่พ้นโทษแบน ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่อาจจะต้องถูกหาทางเล่นงาน ยิ่งในยามที่เเขามีอำนาจ   ​และเป็นเรื่องที่ทำใจไว้อยู่แล้ว ​

ที่มาที่ไปของเงินประมาณ 100 ล้านบาทที่เป็นเรื่อง  มาจากการขายที่ดินย่านลำลูกกา​ซึ่งได้มาตั้งแต่ก่อนเข้าสู่การเมือง  และขายไปตั้งแต่เดือนก.ย.ปีที่ที่แล้วก่อนที่จะมีการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง ​เมื่อเงินเข้ามาก็ถอนออกไปทำธุรกิจ  ไปลงทุนเพราะตอนนี้เป็นคนว่างงาน ใช้เงินท่ีบ้านมานานแล้วก็อยากทำงานทำการบ้าง    

ส่วนการออกมาแฉของ จรัล ดิษฐาอภิชัย ออกมายืนยันว่า​เธอเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนการชุมนุม​ คุณหญิงสุดารัตน์ ยังยืนยันปฏิเสธว่า เป็นความจริง  แต่ยอมรับว่าเคยเจอ จรัล ตั้งแต่ยังเป็นกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ  และเคยให้การสนับสนุนไปเล็กน้อยตอนจัดสัมมนาสมัยนั้น   ทั้งหมดนี้ พร้อมไปชี้แจง แต่ที่ทราบจากหนังสือพิมพ์ให้ไปชี้แจงในวันที่1ก.ค. นั้น เธอต้องพาบิดาไปฝรั่งเศสและ อังกฤษ  โดยจะออกเดินทางวันที่ 26 มิ.ย.  กลับวันที่ ​8 ก.ค.

คุณหญิงสุดารัตน์  มองว่า ​วิธีการเช่นนี้จะเพิ่มศัตรู เพิ่มความขัดแย้ง ​ เหมือนเด็กเรียนหนังสือไม่เก่ง  แต่บังเอิญไปขโมยข้อสอบมาได้  เปิดดูว่าใครมีโอนเงินเข้าเงินออก  อยู่ในข่ายรู้จัก พ.ต.ท.ทักษิณ  ก็บอกว่าคนนั้นคือสนับสนุนการก่อการร้ายเลย ​โดยไม่ดูพฤติกรรมที่เกี่ยวข้อง นี่จะเป็นดาบสองคม คือการใช้อำนาจมากเกินไป อำนาจมีใช้ได้  แต่ถ้าใช้มากเกินไปโดยไม่คำนึงถึงความเป็นธรรม มันก็จะก่อให้เกิดความแตกแยก

เลยต่อมาที่เรื่องที่ดินเกาะสมุยซึ่งถูกกระทบชิ่งมาโดน​เธออธิบายว่า ​มีบ้านพักตากอากาศอยู่สมุย ก่อนที่จะเป็นนักการเมือง บนที่15ไร่  แต่ไม่ใช่จำนวนเงิน 200-300 ล้านบาท อย่างที่มีคนปล่อยข่าว​ที่ดินดังกล่าว​มีเอกสารสิทธิถูกต้องชี้แจงต่อ ป.ป.ช.แล้ว  ยินดีให้ตรวจสอบ​พร้อมฝากให้ช่วยจัดระเบียบ ​เพราะเสน่ห์ความเป็นธรรมชาติกำลังถูกทำลาย ​

“วันนี้การเมืองเล่นกันโหดร้าย เราเองไม่ได้กลัวอะไร ในข้อเท็จจริง แต่สิ่งที่เราเจ็บปวดคือเราทำงานมาโดยตลอด ตั้งใจทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต​ทุ่มเททุกอย่างตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่กระทรวงไหน หรือตอนเป็นฝ่ายค้าน  แต่พอถึงจุดหนึ่งที่ต้องมีการทำลายล้างทางการเมือง   แต่ละข้อหาที่ให้กับเรา เรารับไม่ได้

... เราตั้งใจทำดีให้ประโยชน์กับบ้านเมือง จนเราเองได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ สูงสุดในทุกสาย และ ที่สำคัญคือได้รับพระพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ เป็นคุณหญิง  เพราะฉะนั้นเราสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณตลอด  ไม่เคยคิดร้ายต่อบ้านเกิดเมืองนอนต่อแผ่นดินนี้เด็ดขาด และพร้อมปกปักรักษาสามสถาบันทั้ง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์”

ที่สำคัญ  “แผลลึกในใจ” ​ที่เกิดขึ้นครั้งนี้หาได้มาจาการถูกระงับธุรกรรมการเงิน ​แต่มาจากข้อหา “สนับสนุนการก่อการร้าย”   เหมือนกับเมื่อหลังปฏิวัติแล้วถูกตัดสินเว้นวรรค 5 ปี  ก็ไม่เป็นบาดแผลเท่ากับข้อหาที่ระบุว่าเป็นทำลายร้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

“ข้อหาตัดสิทธิ 5 ปีเราไม่ได้สนใจเลย แล้วไม่ต้องมาอภัยโทษ​ นิรโทษกรรมให้เรา  เราไม่ได้รับข้อหานี้  จะรังแกกันก็รังแกให้ครบ 5 ปี  แต่ข้อหาที่เป็นบาดเแผลในใจ  ข้อหาทำลายร้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย  ถามว่าคนอย่างเราที่มาจากการเลือกตั้งโดยตลอด สนับสนุนการเลือกตั้งโดยตลอดเจอข้าหานี้ ​​

กับข้อหาก่อการร้าย  เราไม่มีทาง เราประณามด้วย การเผาเบ้านเผาเมืองรัฐบาลอย่าพูดแต่ปาก ต้องลากคนที่เผาบ้านเผาเมืองมาลงโทษให้ได้  และที่บอกว่ามีกองกำลังติดอาวุธ  มีกองโจร ระเบิด M79  ตั้ง 40-50 ลูกที่ระเบิดในกรุงเทพฯ ต้องจับให้ได้  ต้องจริงใจที่จะจับให้ได้ ไม่ใช่เอาไว้เพื่อเอาไปยัดข้อหาคนอื่น  อันนี้เรารับไม่ได้จริงๆ”​

คุณหญิงสุดารัตน์ อธิบายว่า ​เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องบางข้อของเสื้อแดง เช่นเรื่องความไม่เป็นธรรม  สองมาตรฐาน ประธาธิปไตยที่แท้จริงไม่ใช่มาจากปลายกระบอกปืน​ แต่อาจเห็นต่างในวิธีการ เพราะการชุมนุมในสถานะกลไกโครงสร้างอำนาจแบบนี้ ​จะสัมฤทธิ์ผลได้อยากและสุ่มเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดความเสียหาย ต่อผู้ชุมนุม  ตนเองจึงไม่ได้เข้าร่วม หรือสนับสนุนการชุมนุมตั้งแต่ต้น 

อย่างไรก็ตามในแง่ที่มองจากพรรคเพื่อไทย ยังเห็นว่า การเป็นนักการเมืองก็ควรจะต้องใช้สภา ในการแก้ปัญหา​และ ก่อนที่มีการชุมนุมของเสื้อแดง รัฐบาลถูกกระแสวิพากษ์วิจาารณ์เรื่องทุจริตคอรัปชั่น อย่างสูงไม่ใช่เฉพาะพรรคร่วมรัฐบาล แม้แต่ตัวพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นแกนนำเอง เรื่องการทุจริตหลายโครงการเช่น ชุมชนพอเพียง

​รวมทั้งมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ เรื่อง ความสามารถการบริหารจัดการ  ของปัญหามาบตาพุด และการจัดการเศรษฐกิจของรัฐบาล ก่อนการชุมนุมเสื้อแดง ในฐานะที่เรามองเข้าไปในพรรคเพื่อไทย เราคิดว่าพรรคเพื่อไทย ต้องใช้เวทีสภา  เมื่อมีอำนาจในการตรวจสอบ ก็ตรวจสอบทั้ง เรื่องทุจริต​และ ศักยภาพความสามารถ แต่พรรคเพื่อไทยในช่วงนั้นไม่ได้ใช้โอกาสนี้

ยิ่งในวันที่ผลการเลือกตั้ง สข.​ที่ตอกย้ำความรู้สึกคนกรุงฯ กับการปฏิเสธการเคลื่อนไหวของเสื้อแดง  ในฐานะที่เคยคุมพื้นที่กทม.ในยุครุ่งเรืองของพรรคไทยรักไทย ซึ่งต้องเปลี่ยนสถานะมาเป็นคนนั่งดูวันนี้ เธอได้แต่รักษาอาการและบอกว่าไม่สามารถเข้าไปยุ่งได้เนื่องจากถูกเว้นวรรค 5 ปี ต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของพรรคเพื่อไทย  แต่แอบยอมรับว่าการแพ้แบบหลุดลุ่ยนี้ส่วนหน่ึงมาจาก “ม็อบ”

ที่สำคัญหลายพื้นที่ที่เสียเก้าอี้ไปถือเป็นพื้นที่ของ คุณหญิงสุดารัตน์เดิมนั้น   เธออธิบายว่า  ที่ผ่านมาก็ได้แต่เพียงให้กำลังใจช่วยเท่านั้น  ไม่ใช่ไม่อยากช่วย แต่เพราะนอกจากเรื่องติดโทษแบนแล้ว พรรคเพื่อไทยมีผู้บริหารใหม่แล้ว​ยังต้องเจอกับเหตุการณ์ที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ออกมาแสดงอาการ​ ​ซึ่งทุกคนก็รับรู้ในจุดนี้​

​“จริงๆ เราไม่มีความคิดไปเกี่ยวเลย พรรคเพื่อไทยจะเลือกใครเป็นหัวหน้าพรรค ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรา เราเองก็รู้ว่าคนในพรรคเพื่อไทยมีน้อย  เขาเลือกใครเราก็ต้องเคารพ  ​ เมื่อต้องเป็นคุณเฉลิม ​ก็ต้องเสนอเขา ไม่เคยมีความเห็นอย่างนั้น ​แต่นี่ไปฟัง สส.สัมภาษณ์พูดมาปะติดปะต่อคิดเอง หรือมีอะไรลึกไปกว่านั้นแล้วเราเป็นเหยื่อ เราก็คิดว่าไม่เป็นธรรมกับเรา”​

กับคำถามว่า คนกรุงเทพฯไม่เอาพรรคเพื่อไทยแล้วหรือ ​“เจ๊หน่อย” ​มองว่า  พรรคเพื่อไทยต้องทำความเข้าใจกับคนกรุงเทพฯอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการถูกโยงว่าเกี่ยวกับการเผาบ้านเผาเมือง​ทั้งที่ไม่ใช่ แต่คนก็ยังรู้สึก ​พรรคเพื่อไทย ต้องตั้งหลักใหม่ ในการแสดงศักยภาพของความเป็นพรรคใหญ่อันดับหนึ่งให้ได้มากกว่านี้​​​ ​

สำหรับสถานการณ์บ้านเมือง  “คนนอก”  อย่างเธอมองว่า เราจะพลาดอีกไม่ได้ ​เพราะบ้าน

เมืองเสียหายมามาก​ถ้าเราไม่เอาความจริงขึ้นมาตั้งบนโต๊ะ  และไม่มีความตั้งใจที่จะแก้ปัญหาจริงๆ จะมีกรรมการอีกกี่ชุดก็ไม่สำเร็จ  เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการขจัดคู่แข่งการเมือง โดยไม่คิดที่จะแก้ปัญหาประเทศอย่างแท้จริง

“ ถ้ามองการได้เปรียบทางการเมือง โอกาสนี้ได้เปรียบแน่ ที่จะทำลายคู่แข่งทางการเมือง แต่ที่ถูกทำลายไปด้วยคือประเทศชาติ   ประเทศ 4-5 ปีที่ผ่านมามันติดไฟเหลืองไฟแดง ไม่มีไฟเขียวให้ประเทศเดินเสียที เราต้องกลับมาดูว่าพื้นฐานตรงนี้  หนึ่งไม่ปกครองอย่างมีธรรมาภิบาล   สองเราไม่บังคับใช้กฎหมายให้เป็นกฎหมาย สองมาตรฐาน​

... ตราบใดที่ยังเป็นการใช้กฎหมาย  เพื่อเอาผิดฝ่ายหนึ่งและไม่เอาผิดอีกฝ่ายหนึ่ง ความวุ่นวายก็จะไม่จบ มันก็จะปะทุอยู่ในหัวใจของคน   รัฐบาลมีโอกาสที่จะทำให้เกิดเป็นรูปธรรม แล้วแต่จะมอง ถ้ามองจะให้ได้เปรียบทางการเมืองผลของการปรองดองก็จะออกมาอย่างหนึ่ง แต่ถ้ามองอย่างรัฐบุรุษ มองให้ประเทศไปได้ ผลก็จะออกมาอีกอย่างหนึ่ง”

ดังนั้นกับกระบวนการต่างที่รัฐบาลพยายามปูทางไปสู่ความ “ปรองดอง” ให้เกิดขึ้นในประเทศ เธอมองว่า ​ตัวนายกฯ ซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งสามารถทำให้เกิดการยอมรับได้ถ้าจะทำ แต่วันนี้สิ่งที่รัฐบาลกระทำ เหมือนทำเพื่อให้ตัวเองได้เปรียบ  หรือรักษาความเป็นรัฐบาลของตัวเองเท่านั้น  เลยทำให้การยอมรับน้อย   ยังไม่สายเกินไป ที่รัฐบาลจะคิดอย่างคนที่เป็นรัฐบุรุษได้ เพื่อให้ประเทศไปรอด ​

ส่วนที่หลายคนยังสงสัยว่าแม้จะถูกตัดสิทธิการเมือง  แต่​คุณหญิงสุดาร้ตน์ ยังกลับถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องในหลายเรื่อง และมองว่าอยู่เบื้องหลังความเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยเฉพาะในพื้นที่กทม.  นั้น  ​เธอมองว่า ​น่าจะเป็นเพราะ คนอาจจะยังติดภาพเก่าที่ยังแข็งแรงมาก ว่าเป็นคนดูแล กทม. ซึ่ง​ต้องบอกว่า ถ้ามาถามก็ให้ความเห็น  แต่ถ้าไม่มาถามก็จะไม่ขอเข้าไปเกี่ยวจริงๆ ยิ่ง

เจ็บปวดมากกับสิ่งที่เจออย่างเป็นเหยื่อจากคุณเฉลิม

“​เราก็เจ็บปวดนะ  เจ็บปวดมากทั้งๆที่เราไม่ได้ไปยุ่ง ไม่ได้ไปขัดขวาง  เราเองก็ไปเป็นแคนดิเดตอะไรกับเขาไม่ได้ซักอย่าง   สมัครกำนันยังไม่ได้เลย  ซึ่งเราเข้าใจว่าพรรคนี้เขาไม่มีคน เขาจะเลือกใคร เราก็ต้องเข้าใจไปได้ ไม่ได้คิดอะไรอย่างนั้น  แต่พอเกิดเหตุการณ์เราเป็นลูกผู้หญิงนะ เราก็เจ็บปวดนะ ​

...เราไม่อยากเป็นเหยื่ออย่างนี้อีกแล้ว คือไม่เป็นธรรมกับเรา  ในเมื่อคุณมีเหตุผล  ของคุณที่จะพยายามรักษาอำนาจ  แล้วเอาเราเป็นเหยื่อมันไม่ได้”​

คุณหญิงสุดารัตน์  อธิบายว่า  ​หลังจากมีการจัดตั้งรัฐบาล นายกฯ สมัคร  สุนทรเวชได้แล้ว เราก็ลดบทบาทเอง ลดลงมาเรื่อยๆ  แม้ 5 ปี ที่ถูกตัดสิทธิ จะรู้สึกว่าไม่เป็นธรรม ใจอยากลุกขึ้นมาต่อสู้ แต่ว่าบ้านเมืองมันหนักหนาสาหัส ปัญหาของเราถ้าเทียบกับปัญหาบ้านเมืองมันเล็ก  เราก็ยอมเก็บความเจ็บช้ำน้ำใจแล้วขีดวงตัวเอง ไม่ค่อยไปยุ่งกับทางการเมือง ​

“แต่เหมือนเคราะห์กรรมเข้ามกระหน่ำซัมเมอร์เซล ​เราก็ยินดีจะเคลียร์ทีละเรื่องแต่ก็ถือเป็นเรื่องหนักของชีวิต   แต่ที่ห่วงใยมากคือ ชื่อเสียงของตนเองจากที่ทำมา จากข่าวลือที่ไม่รู้ว่าลือกันมาจากไหน ลือกันไปลือกันจนเรารู้สึกว่าเราเสียหาย   ก็พยายามอยู่ในวงของตัวเอง อย่าพยายามลากฉันไปยุ่งกับใครมากแล้วกัน 

.... แล้วไม่ต้องกลัวอะไรเราหรอก อีก 2 ปีค่อยเจอกัน  !!!