อีก 2 ปี เจอกัน !!! แผลในใจ กับ ความเจ็บปวด
ผ่านมา 3 ปี ใต้ชายคาบ้านเลขที่ 111 นอกจากชื่อของ เจ๊หน่อย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ จะไม่ได้ห่างหายไปจากแวดวงการเมือง ตรงกันข้ามกลับถูกเชื่อมโยงไปเกี่ยวข้องกับ “เรื่องร้อน” ที่เจ้าตัวบอกว่ามีแต่ผู้หวังดีพยายามดึงไปให้ไปเกี่ยวข้อง ทั้งที่พยายามขีดวงจำกัดบทบาทของตัวเองนับถอยหลังรอวันสู่อิสระภาพ นี่เป็นไม่กี่ครั้งกับการเปิดใจถึงความรู้สึกขณะนี้
ผ่านมา 3 ปี ใต้ชายคาบ้านเลขที่ 111 นอกจากชื่อของ เจ๊หน่อย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ จะไม่ได้ห่างหายไปจากแวดวงการเมือง ตรงกันข้ามกลับถูกเชื่อมโยงไปเกี่ยวข้องกับ “เรื่องร้อน” ที่เจ้าตัวบอกว่ามีแต่ผู้หวังดีพยายามดึงไปให้ไปเกี่ยวข้อง ทั้งที่พยายามขีดวงจำกัดบทบาทของตัวเองนับถอยหลังรอวันสู่อิสระภาพ นี่เป็นไม่กี่ครั้งกับการเปิดใจถึงความรู้สึกขณะนี้
เริ่มจากเรื่องล่าสุดที่ถูกโยงเป็นหนึ่งใน “ท่อน้ำเลี้ยง” สนับสนุนการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงจนถูกแช่แข็งธุรกรรมการเงินที่ คุณหญิงสุดารัตน์ มองว่า น่าจะมาจากที่ตัวเธอเองอาจจะเป็นคู่แข่งทางการเมืองในพื้นที่กทม. กับพรรคประชาธิปัตย์ได้ในวันที่พ้นโทษแบน ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่อาจจะต้องถูกหาทางเล่นงาน ยิ่งในยามที่เเขามีอำนาจ และเป็นเรื่องที่ทำใจไว้อยู่แล้ว
ที่มาที่ไปของเงินประมาณ 100 ล้านบาทที่เป็นเรื่อง มาจากการขายที่ดินย่านลำลูกกาซึ่งได้มาตั้งแต่ก่อนเข้าสู่การเมือง และขายไปตั้งแต่เดือนก.ย.ปีที่ที่แล้วก่อนที่จะมีการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง เมื่อเงินเข้ามาก็ถอนออกไปทำธุรกิจ ไปลงทุนเพราะตอนนี้เป็นคนว่างงาน ใช้เงินท่ีบ้านมานานแล้วก็อยากทำงานทำการบ้าง
ส่วนการออกมาแฉของ จรัล ดิษฐาอภิชัย ออกมายืนยันว่าเธอเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนการชุมนุม คุณหญิงสุดารัตน์ ยังยืนยันปฏิเสธว่า เป็นความจริง แต่ยอมรับว่าเคยเจอ จรัล ตั้งแต่ยังเป็นกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และเคยให้การสนับสนุนไปเล็กน้อยตอนจัดสัมมนาสมัยนั้น ทั้งหมดนี้ พร้อมไปชี้แจง แต่ที่ทราบจากหนังสือพิมพ์ให้ไปชี้แจงในวันที่1ก.ค. นั้น เธอต้องพาบิดาไปฝรั่งเศสและ อังกฤษ โดยจะออกเดินทางวันที่ 26 มิ.ย. กลับวันที่ 8 ก.ค.
คุณหญิงสุดารัตน์ มองว่า วิธีการเช่นนี้จะเพิ่มศัตรู เพิ่มความขัดแย้ง เหมือนเด็กเรียนหนังสือไม่เก่ง แต่บังเอิญไปขโมยข้อสอบมาได้ เปิดดูว่าใครมีโอนเงินเข้าเงินออก อยู่ในข่ายรู้จัก พ.ต.ท.ทักษิณ ก็บอกว่าคนนั้นคือสนับสนุนการก่อการร้ายเลย โดยไม่ดูพฤติกรรมที่เกี่ยวข้อง นี่จะเป็นดาบสองคม คือการใช้อำนาจมากเกินไป อำนาจมีใช้ได้ แต่ถ้าใช้มากเกินไปโดยไม่คำนึงถึงความเป็นธรรม มันก็จะก่อให้เกิดความแตกแยก
เลยต่อมาที่เรื่องที่ดินเกาะสมุยซึ่งถูกกระทบชิ่งมาโดนเธออธิบายว่า มีบ้านพักตากอากาศอยู่สมุย ก่อนที่จะเป็นนักการเมือง บนที่15ไร่ แต่ไม่ใช่จำนวนเงิน 200-300 ล้านบาท อย่างที่มีคนปล่อยข่าวที่ดินดังกล่าวมีเอกสารสิทธิถูกต้องชี้แจงต่อ ป.ป.ช.แล้ว ยินดีให้ตรวจสอบพร้อมฝากให้ช่วยจัดระเบียบ เพราะเสน่ห์ความเป็นธรรมชาติกำลังถูกทำลาย
“วันนี้การเมืองเล่นกันโหดร้าย เราเองไม่ได้กลัวอะไร ในข้อเท็จจริง แต่สิ่งที่เราเจ็บปวดคือเราทำงานมาโดยตลอด ตั้งใจทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตทุ่มเททุกอย่างตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่กระทรวงไหน หรือตอนเป็นฝ่ายค้าน แต่พอถึงจุดหนึ่งที่ต้องมีการทำลายล้างทางการเมือง แต่ละข้อหาที่ให้กับเรา เรารับไม่ได้
... เราตั้งใจทำดีให้ประโยชน์กับบ้านเมือง จนเราเองได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ สูงสุดในทุกสาย และ ที่สำคัญคือได้รับพระพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ เป็นคุณหญิง เพราะฉะนั้นเราสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณตลอด ไม่เคยคิดร้ายต่อบ้านเกิดเมืองนอนต่อแผ่นดินนี้เด็ดขาด และพร้อมปกปักรักษาสามสถาบันทั้ง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์”
ที่สำคัญ “แผลลึกในใจ” ที่เกิดขึ้นครั้งนี้หาได้มาจาการถูกระงับธุรกรรมการเงิน แต่มาจากข้อหา “สนับสนุนการก่อการร้าย” เหมือนกับเมื่อหลังปฏิวัติแล้วถูกตัดสินเว้นวรรค 5 ปี ก็ไม่เป็นบาดแผลเท่ากับข้อหาที่ระบุว่าเป็นทำลายร้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
“ข้อหาตัดสิทธิ 5 ปีเราไม่ได้สนใจเลย แล้วไม่ต้องมาอภัยโทษ นิรโทษกรรมให้เรา เราไม่ได้รับข้อหานี้ จะรังแกกันก็รังแกให้ครบ 5 ปี แต่ข้อหาที่เป็นบาดเแผลในใจ ข้อหาทำลายร้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ถามว่าคนอย่างเราที่มาจากการเลือกตั้งโดยตลอด สนับสนุนการเลือกตั้งโดยตลอดเจอข้าหานี้
กับข้อหาก่อการร้าย เราไม่มีทาง เราประณามด้วย การเผาเบ้านเผาเมืองรัฐบาลอย่าพูดแต่ปาก ต้องลากคนที่เผาบ้านเผาเมืองมาลงโทษให้ได้ และที่บอกว่ามีกองกำลังติดอาวุธ มีกองโจร ระเบิด M79 ตั้ง 40-50 ลูกที่ระเบิดในกรุงเทพฯ ต้องจับให้ได้ ต้องจริงใจที่จะจับให้ได้ ไม่ใช่เอาไว้เพื่อเอาไปยัดข้อหาคนอื่น อันนี้เรารับไม่ได้จริงๆ”
คุณหญิงสุดารัตน์ อธิบายว่า เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องบางข้อของเสื้อแดง เช่นเรื่องความไม่เป็นธรรม สองมาตรฐาน ประธาธิปไตยที่แท้จริงไม่ใช่มาจากปลายกระบอกปืน แต่อาจเห็นต่างในวิธีการ เพราะการชุมนุมในสถานะกลไกโครงสร้างอำนาจแบบนี้ จะสัมฤทธิ์ผลได้อยากและสุ่มเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดความเสียหาย ต่อผู้ชุมนุม ตนเองจึงไม่ได้เข้าร่วม หรือสนับสนุนการชุมนุมตั้งแต่ต้น
อย่างไรก็ตามในแง่ที่มองจากพรรคเพื่อไทย ยังเห็นว่า การเป็นนักการเมืองก็ควรจะต้องใช้สภา ในการแก้ปัญหาและ ก่อนที่มีการชุมนุมของเสื้อแดง รัฐบาลถูกกระแสวิพากษ์วิจาารณ์เรื่องทุจริตคอรัปชั่น อย่างสูงไม่ใช่เฉพาะพรรคร่วมรัฐบาล แม้แต่ตัวพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นแกนนำเอง เรื่องการทุจริตหลายโครงการเช่น ชุมชนพอเพียง
รวมทั้งมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ เรื่อง ความสามารถการบริหารจัดการ ของปัญหามาบตาพุด และการจัดการเศรษฐกิจของรัฐบาล ก่อนการชุมนุมเสื้อแดง ในฐานะที่เรามองเข้าไปในพรรคเพื่อไทย เราคิดว่าพรรคเพื่อไทย ต้องใช้เวทีสภา เมื่อมีอำนาจในการตรวจสอบ ก็ตรวจสอบทั้ง เรื่องทุจริตและ ศักยภาพความสามารถ แต่พรรคเพื่อไทยในช่วงนั้นไม่ได้ใช้โอกาสนี้
ยิ่งในวันที่ผลการเลือกตั้ง สข.ที่ตอกย้ำความรู้สึกคนกรุงฯ กับการปฏิเสธการเคลื่อนไหวของเสื้อแดง ในฐานะที่เคยคุมพื้นที่กทม.ในยุครุ่งเรืองของพรรคไทยรักไทย ซึ่งต้องเปลี่ยนสถานะมาเป็นคนนั่งดูวันนี้ เธอได้แต่รักษาอาการและบอกว่าไม่สามารถเข้าไปยุ่งได้เนื่องจากถูกเว้นวรรค 5 ปี ต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของพรรคเพื่อไทย แต่แอบยอมรับว่าการแพ้แบบหลุดลุ่ยนี้ส่วนหน่ึงมาจาก “ม็อบ”
ที่สำคัญหลายพื้นที่ที่เสียเก้าอี้ไปถือเป็นพื้นที่ของ คุณหญิงสุดารัตน์เดิมนั้น เธออธิบายว่า ที่ผ่านมาก็ได้แต่เพียงให้กำลังใจช่วยเท่านั้น ไม่ใช่ไม่อยากช่วย แต่เพราะนอกจากเรื่องติดโทษแบนแล้ว พรรคเพื่อไทยมีผู้บริหารใหม่แล้วยังต้องเจอกับเหตุการณ์ที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ออกมาแสดงอาการ ซึ่งทุกคนก็รับรู้ในจุดนี้
“จริงๆ เราไม่มีความคิดไปเกี่ยวเลย พรรคเพื่อไทยจะเลือกใครเป็นหัวหน้าพรรค ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรา เราเองก็รู้ว่าคนในพรรคเพื่อไทยมีน้อย เขาเลือกใครเราก็ต้องเคารพ เมื่อต้องเป็นคุณเฉลิม ก็ต้องเสนอเขา ไม่เคยมีความเห็นอย่างนั้น แต่นี่ไปฟัง สส.สัมภาษณ์พูดมาปะติดปะต่อคิดเอง หรือมีอะไรลึกไปกว่านั้นแล้วเราเป็นเหยื่อ เราก็คิดว่าไม่เป็นธรรมกับเรา”
กับคำถามว่า คนกรุงเทพฯไม่เอาพรรคเพื่อไทยแล้วหรือ “เจ๊หน่อย” มองว่า พรรคเพื่อไทยต้องทำความเข้าใจกับคนกรุงเทพฯอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการถูกโยงว่าเกี่ยวกับการเผาบ้านเผาเมืองทั้งที่ไม่ใช่ แต่คนก็ยังรู้สึก พรรคเพื่อไทย ต้องตั้งหลักใหม่ ในการแสดงศักยภาพของความเป็นพรรคใหญ่อันดับหนึ่งให้ได้มากกว่านี้
สำหรับสถานการณ์บ้านเมือง “คนนอก” อย่างเธอมองว่า เราจะพลาดอีกไม่ได้ เพราะบ้าน
เมืองเสียหายมามากถ้าเราไม่เอาความจริงขึ้นมาตั้งบนโต๊ะ และไม่มีความตั้งใจที่จะแก้ปัญหาจริงๆ จะมีกรรมการอีกกี่ชุดก็ไม่สำเร็จ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการขจัดคู่แข่งการเมือง โดยไม่คิดที่จะแก้ปัญหาประเทศอย่างแท้จริง
“ ถ้ามองการได้เปรียบทางการเมือง โอกาสนี้ได้เปรียบแน่ ที่จะทำลายคู่แข่งทางการเมือง แต่ที่ถูกทำลายไปด้วยคือประเทศชาติ ประเทศ 4-5 ปีที่ผ่านมามันติดไฟเหลืองไฟแดง ไม่มีไฟเขียวให้ประเทศเดินเสียที เราต้องกลับมาดูว่าพื้นฐานตรงนี้ หนึ่งไม่ปกครองอย่างมีธรรมาภิบาล สองเราไม่บังคับใช้กฎหมายให้เป็นกฎหมาย สองมาตรฐาน
... ตราบใดที่ยังเป็นการใช้กฎหมาย เพื่อเอาผิดฝ่ายหนึ่งและไม่เอาผิดอีกฝ่ายหนึ่ง ความวุ่นวายก็จะไม่จบ มันก็จะปะทุอยู่ในหัวใจของคน รัฐบาลมีโอกาสที่จะทำให้เกิดเป็นรูปธรรม แล้วแต่จะมอง ถ้ามองจะให้ได้เปรียบทางการเมืองผลของการปรองดองก็จะออกมาอย่างหนึ่ง แต่ถ้ามองอย่างรัฐบุรุษ มองให้ประเทศไปได้ ผลก็จะออกมาอีกอย่างหนึ่ง”
ดังนั้นกับกระบวนการต่างที่รัฐบาลพยายามปูทางไปสู่ความ “ปรองดอง” ให้เกิดขึ้นในประเทศ เธอมองว่า ตัวนายกฯ ซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งสามารถทำให้เกิดการยอมรับได้ถ้าจะทำ แต่วันนี้สิ่งที่รัฐบาลกระทำ เหมือนทำเพื่อให้ตัวเองได้เปรียบ หรือรักษาความเป็นรัฐบาลของตัวเองเท่านั้น เลยทำให้การยอมรับน้อย ยังไม่สายเกินไป ที่รัฐบาลจะคิดอย่างคนที่เป็นรัฐบุรุษได้ เพื่อให้ประเทศไปรอด
ส่วนที่หลายคนยังสงสัยว่าแม้จะถูกตัดสิทธิการเมือง แต่คุณหญิงสุดาร้ตน์ ยังกลับถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องในหลายเรื่อง และมองว่าอยู่เบื้องหลังความเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยเฉพาะในพื้นที่กทม. นั้น เธอมองว่า น่าจะเป็นเพราะ คนอาจจะยังติดภาพเก่าที่ยังแข็งแรงมาก ว่าเป็นคนดูแล กทม. ซึ่งต้องบอกว่า ถ้ามาถามก็ให้ความเห็น แต่ถ้าไม่มาถามก็จะไม่ขอเข้าไปเกี่ยวจริงๆ ยิ่ง
เจ็บปวดมากกับสิ่งที่เจออย่างเป็นเหยื่อจากคุณเฉลิม
“เราก็เจ็บปวดนะ เจ็บปวดมากทั้งๆที่เราไม่ได้ไปยุ่ง ไม่ได้ไปขัดขวาง เราเองก็ไปเป็นแคนดิเดตอะไรกับเขาไม่ได้ซักอย่าง สมัครกำนันยังไม่ได้เลย ซึ่งเราเข้าใจว่าพรรคนี้เขาไม่มีคน เขาจะเลือกใคร เราก็ต้องเข้าใจไปได้ ไม่ได้คิดอะไรอย่างนั้น แต่พอเกิดเหตุการณ์เราเป็นลูกผู้หญิงนะ เราก็เจ็บปวดนะ
...เราไม่อยากเป็นเหยื่ออย่างนี้อีกแล้ว คือไม่เป็นธรรมกับเรา ในเมื่อคุณมีเหตุผล ของคุณที่จะพยายามรักษาอำนาจ แล้วเอาเราเป็นเหยื่อมันไม่ได้”
คุณหญิงสุดารัตน์ อธิบายว่า หลังจากมีการจัดตั้งรัฐบาล นายกฯ สมัคร สุนทรเวชได้แล้ว เราก็ลดบทบาทเอง ลดลงมาเรื่อยๆ แม้ 5 ปี ที่ถูกตัดสิทธิ จะรู้สึกว่าไม่เป็นธรรม ใจอยากลุกขึ้นมาต่อสู้ แต่ว่าบ้านเมืองมันหนักหนาสาหัส ปัญหาของเราถ้าเทียบกับปัญหาบ้านเมืองมันเล็ก เราก็ยอมเก็บความเจ็บช้ำน้ำใจแล้วขีดวงตัวเอง ไม่ค่อยไปยุ่งกับทางการเมือง
“แต่เหมือนเคราะห์กรรมเข้ามกระหน่ำซัมเมอร์เซล เราก็ยินดีจะเคลียร์ทีละเรื่องแต่ก็ถือเป็นเรื่องหนักของชีวิต แต่ที่ห่วงใยมากคือ ชื่อเสียงของตนเองจากที่ทำมา จากข่าวลือที่ไม่รู้ว่าลือกันมาจากไหน ลือกันไปลือกันจนเรารู้สึกว่าเราเสียหาย ก็พยายามอยู่ในวงของตัวเอง อย่าพยายามลากฉันไปยุ่งกับใครมากแล้วกัน
.... แล้วไม่ต้องกลัวอะไรเราหรอก อีก 2 ปีค่อยเจอกัน !!!