"สีจิ้นผิง" ในคสช.
จากนี้คงมีอะไรต่อมิอะไรออกมาให้สะพรึงมากกว่าการล้างบางกระทรวงศึกษาธิการ
โดย....สถิตย์ คู่ไทย
คสช.กำหนดโรดแมปจะเลือกตั้งกลางปี 2559 เมื่อนับจากนี้เหลือเวลาให้รัฐบาลคสช.บริหารประเทศแค่หนึ่งปีเท่านั้น
ระยะเวลาหนึ่งปีไม่มากและไม่น้อยเกินไปแต่ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมือง ปัญหาเศรษฐกิจ ฟันธงล่วงหน้าไม่อาจแก้ไขให้สำเร็จทุกประการ
นี่อาจเป็นเหตุให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) อาศัยอำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวออกคำสั่้งเพื่อสะสางปัญหาต่างๆในขณะนี้
ฉะนั้นความเข้าใจที่ว่าบิ๊กตู่งัดมาตรา 44 เป็นเครื่องมือทดแทนการเลิกกฎอัยการศึกกลายเป็นเรื่องเกินความคาดหมายไปเสียแล้ว
พล.อ.ประยุทธ์ มองสถานการณ์ล่วงหน้าหากปล่อยให้การแก้ปัญหาต่างๆตามขั้นตอนคงไม่ทันอายุขัยรัฐบาล
นับแต่เลิกกฎอัยการศึก มาตรา 44 ถูกเรียกใช้บริการต่อเนื่อง เริ่มจากแก้ไขปัญหากรมการบินพลเรือน จัดการแก้ปัญหาค้ามนุษย์ ไปจนถึงออกคำสั่งล้างบางบิ๊กข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการพร้อมกับสั่งบรรดาผู้บริหารระดับสูงคุรุสภาหยุดปฏิบัติหน้าที่ มีการตั้งกรรมการสอบสวนปมปัญหาทุจริตภายใน
เหตุผลหนึ่งของการใช้มาตรา 44 แทนอาศัยมติครม.โยกย้ายข้าราชการทั่วไป อาจเป็นเพราะจะได้หลบเลี่ยงการถูกฟ้องศาลปกครองกรณีโยกย้ายไม่เป็นธรรม นี่คือมาตราพิเศษที่คุ้มครองหัวหน้าคสช.นั่นเอง
ขณะที่มาตรา44 พัฒนาการถึงขั้นจะนำไปแก้ปัญหาสลากกินแบ่งรัฐบาลราคาแพงให้อยู่ในระดับใบละ 80 บาท โดยที่พล.อ.ประยุทธ์เล็งเห็นความสำคัญของอำนาจพิเศษทำได้ทุกสิ่งสรรพ จึงมีแนวโน้มว่าเรื่องที่ไม่มีใครทำได้อาจทำได้ในยามนี้
อาการขยับของรัฐบาลคสช.ผ่านการใช้อำนาจตามมาตรา 44 น่าสะพรึงนัก แต่ไม่ใช่สร้างความน่ากลัวต่อประชาชนทั่วไปหากแต่กำลังทำให้บรรดานักการเมือง ข้าราชการที่มีชนักติดหลังเริ่มไหวหวั่นมากกว่า
เห็นได้จากการกางบัญชีดำทุจริต 100 ราย เพื่อเตรียมเข้าสู่การดำเนินคดีให้เห็นเป็นเยี่ยงอย่าง สำทับกับที่ วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมาย ออกมายืนยันภายหลังการประชุมคณะกรรมการต่อต้านทุจริตแห่งชาติ(คตช.) เมื่อวันที่ 21 เม.ย. 2558 เปิดเผยเหตุผลนายกฯในฐานะหัวหน้าคสช.ใช้อำนาจผ่านมาตรา 44 ในการโยกย้ายข้าราชการเอี่ยวทุจริต เพราะหากใช้กระบวนการปกติต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ เป็นไปด้วยความล่าช้า ซึงก็สอดคล้องกับระยะเวลาการบริหารงานรัฐบาลเหลือน้อยเต็มทน
วิธีการดังกล่าวก็ดูจะเป็นไปตามอำนาจพิเศษที่เหมือนดาบอาญาสิทธิ์มอบไว้ให้แก่หัวหน้าคสช.แต่เพียงผู้เดียว เป็นวิธีการที่อาจไม่ได้เป็นไปตามกระบวนการระบอบประชาธิปไตยอย่างที่เข้าใจ แต่อีกมุมหนึ่งก็เป็นการใช้อำนาจพิเศษมาตรา 44 ในทางสร้างสรรค์และจำเป็นอย่างยิ่งยวด
เสียงลือเสียงเล่าอ้าง สี จิ้น ผิง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน ผู้ออกนโยบายปราบโกงอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
มีการกวาดล้างการทุจริตข้าราชการยกกระทรวง ตามไล่รื้อยึดทรัพย์นักการเมือง วงค์วานว่านเครือ โดยไม่ไว้หน้า ไม่เกรงใจใครอีกต่อไป ไมว่าจะเป็นเด็กเส้น หรือ นักการเมืองคนใดจนสั่นสะเทือนแผ่นดินจีน กำลังมีหัวหน้าคสช. เจริญรอยตาม ก็ไม่ผิดนัก โดยที่หัวหน้าคสช. เลือกใช้อำนาจพิเศษกวาดล้างขบวนการทุจริตให้หมดสิ้นในช่วงมีเวลาเหลืออยู่นั่นเอง
ขณะที่เคยมีเสียงเรียกร้องมานับตั้งแต่ บิ๊กตู่ เข้ามาครองอำนาจ ถ้าต้องการจัดการคนโกงแบบเด็ดขาด ให้มองไปที่ประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงอย่างจีน ที่มีสีจิ้นผิง ผู้นำสูงสุดทำเป็นตัวอย่างนั้นไงเล่า และหากกล้าตัดสินใจใช้อำนาจเด็ดขาดถึงจะมีเสียงโลกสวยถล่ม แต่ก็คุ้มกับการโกยคะแนนความนิยมจากประชาชน ที่กวาดล้างบรรดาโคตรโกงได้สำเร็จ
เพราะไม่ทันขาดคำ แค่นายกฯกวักมือเรียกประชุมบรรดาเลขาหน่วยงานปราบโกง จะเป็น ปปช. ปปท. คตช. เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่กี่วันต่อมาก็มีการแถลงจากปปช.ให้อายัดทรัพย์ ธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ รวมไปถึงข้าราชการสรรพากร เนื่องจากพบพฤติกรรมเคลื่อนไหวทรัพย์สิน จึงต้องการให้ผู้ถูกอายัพทรัพย์ได้แสดงความมีอยู่จริงของทรัพย์สินที่ได้มา
ฉะนั้นแล้ว จากนี้คงมีอะไรต่อมิอะไรออกมาให้สะพรึงมากกว่าการล้างบางกระทรวงศึกษาธิการ หรือการเช็คบิลเพียงแค่บัญชี 100 ข้าราชการเท่านั้น