posttoday

คำพูดกัดกร่อนภาวะผู้นำ"ประยุทธ์"

19 กันยายน 2557

เข้าตำรา “ปลาหมอตายเพราะปาก”เมื่อเวลานี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ดูจะสะบักสะบอมจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึง “คำพูด”

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

เข้าตำรา “ปลาหมอตายเพราะปาก”เมื่อเวลานี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ดูจะสะบักสะบอมจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึง “คำพูด” ที่ไม่เหมาะสมกับหมวกใบใหม่ ในฐานะนายกรัฐมนตรี

แน่นอน บุคลิก เสียงดังฟังชัด โผงผาง ตรงไปตรงมา แบบชายชาติทหาร ด้านหนึ่งอาจแสดงถึงการพูดตรงใจคน ความมีอำนาจ น่าเกรงขาม และเหมาะสมกับการสื่อสารในฐานะผู้บังคับบัญชา หรืออาจเหมาะสมกับบางบทบาทของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

ทว่าอีกด้านหนึ่งนอกจากจะไม่เหมาะสมกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว ยังอาจยิ่งสร้างปัญหาเพิ่มเติม หากไม่ระมัดระวังคำพูดให้เหมาะสมกับโอกาสและจังหวะ

ยิ่งส่วนตัวแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จัดเป็นคนอารมณ์ร้อน “คำพูด” จึงกลายเป็นจุดอ่อนที่สร้างปัญหามาตั้งแต่ช่วงแรกหลังรัฐประหาร

ดังจะเห็นจากหลังมีพระบรมราชโองการฯ แต่งตั้งเป็นหัวหน้า คสช. เมื่อวันที่ 26 พ.ค. พล.อ.ประยุทธ์ออกอาการหลุดเมื่อถูกผู้สื่อข่าวตั้งคำถามว่าจะรับตำแหน่งนายกฯ เองหรือไม่

ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ใช้วิธีแก้ปัญหาด้วยการหักดิบ เก็บเนื้อเก็บตัว เลือกที่จะไม่ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน แต่จะใช้วิธีสื่อสารทางเดียว ชี้แจงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ หรือใช้เป็นรูปแบบออกประกาศ ออกคำสั่ง คสช.

แต่สำหรับบทบาท “นายกรัฐมนตรี” เป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยงการตอบคำถามหรือให้สัมภาษณ์ถึงแนวนโยบายการบริหารงานของรัฐบาล ปัญหาเดิมๆ จึงเริ่มย้อนกลับมาอีกครั้ง

ที่สำคัญรอบนี้ส่งผลกระทบไปไกลถึงระดับนานาชาติ

ทั้ง สำนักข่าวเอเอฟพี เดอะ มิร์เรอร์ และ ดิ อินดิเพนเดนต์ ได้นำเสนอข่าวถึงท่าทีคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ ต่อเหตุการณ์สะเทือนขวัญ นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษสองคนถูกฆาตกรรมบนเกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี

“ปัญหาเกี่ยวกับความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวมีอยู่เสมอ พวกเขาคิดว่าประเทศของเราสวยงามและปลอดภัยก็เลยทำอะไรที่อยากทำ พวกเขาใส่บิกินี่และเดินไปไหนก็ได้”

“พวกเขาคิดว่าใส่บิกินี่แล้วปลอดภัยเหรอ เว้นแต่ว่าไม่สวย Can they be safe in bikinis unless they are not beautiful?”

คำพูดนี้กลายเป็นระเบิดลูกใหญ่ที่ทั้งคนไทยและต่างชาติถล่มใส่ พล.อ.ประยุทธ์ รุนแรง โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดียที่ขยายผลไปในวงกว้างอย่างรวดเร็ว

แน่นอนว่า สำหรับคดีนี้ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เอาจริงเอาจัง เร่งติดตามตัวหาคนผิดมาดำเนินคดี เพราะถือเป็นคดีที่กระทบถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ทว่าจากคำพูดที่หลุดออกมาเช่นนี้ จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ย่อมทำลายภาพลักษณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ในสายตาต่างชาติ ซ้ำเติมจากเดิมที่ภาพลักษณ์เสียหายเรื่องเป็นรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร

สุดท้ายย่อมส่งผลทำลายมาถึงภาพลักษณ์ของประเทศอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ร้อนจนพล.อ.ประยุทธ์เตรียมชี้แจงเรื่องนี้อย่างละเอียดในรายการคืนความสุขให้คนในชาติวันศุกร์นี้

แม้ลีลาการพูดจาของ พล.อ.ประยุทธ์จะเน้นแบบเป็นกันเอง ตรงไปตรงมา ที่โดนใจกองเชียร์ แต่เมื่อเป็นคำพูดจากผู้นำของประเทศ บางครั้งจึงกลายเป็นคำพูดที่ไม่เหมาะสม

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 15 ก.ย. ที่สโมสรทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ ให้ข้อคิดต่อการแถลงยุทธศาสตร์ชาติและยุทธศาสตร์ทหาร ระบุถึงการแก้ปัญหาราคายาง

“เราก็แก้ปัญหาทั้งระบบอยู่ แต่ไม่รู้เกษตรกรจะใจเย็นพอหรือไม่ จะขอราคายางที่ 90100 บาท ขอถามว่าตอนนี้เราขายได้แค่ 6070 บาท แล้วจะไปขายให้ใครในโลกนี้ สนับสนุนปลูกยางพารากันอย่างนี้ คงต้องไปขายที่ดาวอังคารแล้ว”

ลีลาประชดประชันให้ไปขายยางดาวอังคารจึงถูกหยิบยกมาถล่มวิสัยทัศน์นายกรัฐมนตรีมากกว่าจะไปให้น้ำหนักสนใจไปยังแนวนโยบายการแก้ปัญหาราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำ

ล่าสุด กรณี กริชสุดา คุณะแสน คนเสื้อแดงที่เดินสายแจงเวทีนานาชาติว่าถูกทหารทำร้ายระหว่างการควบคุมตัวของ คสช. พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอย่างมีอารมณ์ “มีอย่างที่ไหน เป็นผู้หญิงหน้าตาก็ดูดี บอกว่าถูกควบคุมตัว7 วัน แล้วเอาหัวไปกดน้ำ มันดูหนังมากไปหรือเปล่า อีนี่ใครจะไปทำวะ ผู้ชายด้วยกันยังไม่อยากทำเลย ทำไม่ได้ เพราะเราเป็นคนไทยพุทธ ใครจะไปทำคุณ จับมาควบคุมตัว ไม่ได้ให้อดข้าวอดน้ำ วันนั้นหน้ามันผ่อง สามีมันก็ไปอยู่ด้วย สั่งให้กลับบ้าน มันก็ไม่กลับ ขอให้อยู่ต่อ กลับบ้านอันตราย แต่เวลาไปพูด ไปบอกว่าถูกทรมาน ถูกทำร้าย ตอกเล็บ ไอ้บ้าเอ๊ย ใครจะไปตอกเล็บมันวะ นี่คือสิ่งที่พูดไม่จริง”

ไม่ว่าข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร แต่การใช้คำพูดรุนแรง ไม่ให้เกียรติผู้หญิง สื่อสารสู่สาธารณะเช่นนี้ ย่อมทำลายภาวะผู้นำของ พล.อ.ประยุทธ์ อย่างรุนแรง

ยังไม่รวมกับคำพูดทีเล่นทีจริง ที่เข้าใจได้ว่าอาจเป็นการสร้างสีสัน “ปล่อยมุข” ทำลายบรรยากาศความตึงเครียด ลบภาพดุดันที่ผ่านมา แต่หลายครั้งผลลัพธ์ที่ออกมากลับได้ผลตรงข้าม โดยเฉพาะในเวทีที่เป็นทางการ

ชัดเจนในการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เมื่อวันที่ 12 ก.ย.

“กรณีของแอร์พอร์ตลิงค์ให้ไปรีบซ่อม วันนี้คนใช้บริการเยอะขึ้น พอคนไม่มาใช้ก็บอกว่าคนใช้น้อย แต่พอเขามาใช้เยอะก็บอกว่ารถเสีย ก็ต้องไปรีบซ่อมซะ มันน่าจะเอาคนที่รับผิดชอบมายืนบนรางรถไฟนะ”

“อย่าไปเตะทรายใส่นักท่องเที่ยว อย่าให้เกิดขึ้นอีก คิดได้ยังไง ผมไม่เข้าใจ น่าจะเอาเจ้าของ (ร้านให้เช่าที่นอนอาบแดดชายหาด) ไปฝังทรายให้ถึงคอ”

คำพูดลักษณะเช่นนี้ เมื่อออกมาจากปากนายกรัฐมนตรีแบบไม่ถูกที่ ถูกเวลา ย่อมบั่นทอนความน่าเชื่อถือ และหากยังไม่ปรับตัวปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ย่อมฉุดภาวะผู้นำมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายจะสะสมและย้อนกลับมาเป็นปัญหาต่อการบริหารงานในอนาคต