posttoday

กับดักหนี้ "รถคันแรก" ติดแล้วติดเลย

05 กันยายน 2557

ปัญหาโครงการรถคันแรกที่สิ้นสุดโครงการไปแล้วตั้งแต่ปี 2555 กำลังทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง

โดย...ฉัตรชัย ธนจินดาเลิศ

ปัญหาโครงการรถคันแรกที่สิ้นสุดโครงการไปแล้วตั้งแต่ปี 2555 กำลังทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อตัวเลขล่าสุดของกรมสรรพสามิตในปี 2557 พบว่า มีผู้ที่ได้รับสิทธิจากโครงการรถคันแรก 1.25 ล้านคัน และได้กระทำผิดเงื่อนไขของโครงการไปแล้ว 511 คัน หรือเพิ่มขึ้นกว่า 50 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2556 ที่มีผู้กระทำผิดเงื่อนไขเพียง 10-20 คันเท่านั้น

เหตุผลหลักที่มีการทิ้งรถ เลิกใช้สิทธิเพราะไม่สามารถผ่อนชำระค่างวดกับบริษัทเช่าซื้อหรือลีสซิ่งได้ตามกำหนด จนกลายเป็นหนี้เสียหรือเอ็นพีแอลและในที่สุดก็ถูกยึดรถคืน

เท่านั้นยังไม่พอ หากผู้ขอใช้สิทธิรายใดได้เงินภาษีสรรพสามิตคืนไปแล้ว แต่ผ่อนไม่รอด ก็ต้องหาเงินแสนไปคืนให้กับกรมสรรพสามิตด้วย

หากดูตัวเลขของผู้ที่กระทำผิดเงื่อนไขรถคันแรก อาจจะไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับจำนวนรถที่เข้าร่วมโครงการทั้งหมด 1.25 ล้านคัน แต่นี่เป็นการส่งสัญญาณที่ไม่ค่อยดีออกมาให้เห็นแล้วว่า ผู้ใช้สิทธิบางส่วนกำลังมีปัญหาด้านการเงิน กำลังขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรงจนไม่สามารถมีเงินไปจ่ายค่างวดได้ แม้ก่อนหน้านี้จะได้รับเงินแสนจากรัฐบาลไปตุนไว้ในมือแล้วก็ตาม

สำหรับผู้ที่ถูกยึดรถหรือนำรถไปคืนลีสซิ่งแล้ว โปรดอย่าลืมด้วยว่า ตัวหนี้สินที่กู้ยืมมานั้นไม่ได้สิ้นสุดลงตามไปด้วย หากลีสซิ่งนำรถของท่านไปขายทอดตลาดแล้ว ได้ราคารถกลับมายังไม่พอกับมูลหนี้ที่ค้างไว้อยู่ ก็จะต้องมีการเรียกหนี้เพิ่มให้ครบตามมูลหนี้

และตั้งแต่โครงการรถคันแรกและรถอีโคคาร์กระหน่ำออกมาวิ่งบนท้องถนน ก็ได้สร้างความปั่นป่วนให้กับราคาตลาดรถยนต์มือสองเป็นอย่างมาก ส่งผลให้ราคาปรับฮวบลดลงไป 20-30% ทีเดียว จากสถานการณ์ปกติราคาลดจะตกลงไปประมาณ 10-15%

โดยเฉพาะรถอีโคคาร์ราคาจะตกลงมากเป็นพิเศษ ซึ่งคาดว่าสถานการณ์จะกลับมาเป็นปกติได้ก็คงกินเวลาไปอีก 2-3 ปี หรือจนกว่าจะครบเงื่อนไขการต้องถือครองรถคันแรกอย่างน้อยเป็นเวลา 5 ปี

ดังนั้น ราคารถมือสองที่ตกลงก็ทำให้มูลหนี้ที่ค้างอยู่ต้องเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เช่น กู้ยืมมา 4 แสนบาท ผ่อนไปแล้ว 2 แสนบาท รถถูกยึดและขายทอดตลาดได้แค่ 1 แสนบาท เท่ากับว่ายังเหลือมูลหนี้ค้างอีก 1 แสนบาท ซึ่งส่วนหนี้ที่เหลือนี้ท่านก็ต้องหาทางไปจ่ายคืนให้กับลีสซิ่งด้วยถึงจะหมดภาระผูกพันกับลีสซิ่ง โดยไม่ต้องมานั่งมีเรื่องฟ้องร้องดำเนินคดีกันภายหลัง แถมยังต้องหาเงินแสนไปคืนกรมสรรพสามิตอีกต่อหนึ่ง

ไม่เช่นนั้น หากท่านไม่สามารถหาเงินมาชำระหนี้ที่เหลือคืนให้กับลีสซิ่งและกรมสรรพสามิตได้ ก็อาจมีปัญหาทำให้รายชื่อติดเครดิตบูโรว่าเคยมีปัญหาเรื่องหนี้เสียมาก่อน การจะไปขอกู้เงินหรือไปทำธุรกรรมทางการเงินกับสถาบันการเงินต่างๆ ในอนาคตอาจมีปัญหาได้ เนื่องจากเครดิตทางการเงินของท่านได้เสียไปแล้ว

แต่สำหรับใครก็ตามที่ยังไม่มีปัญหาเรื่องค่างวด หรือถ้ากำลังจะมี ขออย่านิ่งนอนใจหรือปล่อยให้ลีสซิ่งมายึดรถของท่านไปง่ายๆ เพราะหากติดขัดเรื่องค่างวดขึ้นมา ท่านก็สามารถใช้วิธีประนีประนอม ด้วยการเข้าไปขอเจรจากับทางลีสซิ่งได้ ไม่ว่าจะเป็นการขอยืดระยะเวลาผ่อนชำระออกไป เพื่อให้ผ่อนค่างวดต่อเดือนลดลง หรือขอลดดอกเบี้ย เช่น เดิมผ่อนเดือนละ 1 หมื่นบาท ก็เจรจาให้เหลือเดือนละ 5,000 บาท จากเดิม 4 ปี ก็ออกไปเป็น 6 ปี ซึ่งก็เป็นแนวทางที่น่าจะช่วยให้ท่านผ่อนค่างวดได้ตลอดรอดฝั่ง และไม่ต้องมีชื่อติดเครดิตบูโรให้เสียอนาคต

กัดฟันรอจนกว่าจะถือครองรถครบ 5 ปี ซึ่งเมื่อถึงตอนนี้ก็คงเหลือเวลาอีก 2-3 ปีก็จะครบกำหนดของกรมสรรพสามิตแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นค่อยนำรถออกมาขายทิ้ง ชำระหนี้สินที่มีอยู่ ตั้งสติเริ่มต้นใหม่ก็ยังไม่สาย

และนี่คงเป็นอีกบทเรียนหนึ่งจากโครงการประชานิยม ที่ประชาชนแห่ไปตามกระแส โดยไม่คำนึงถึงความสามารถทางด้านการเงินของตัวเอง จนในที่สุดก็นำมาสู่การสร้างปัญหาให้กับตัวเองและครอบครัวเดือดร้อนไปตามๆ กัน