“ประสงค์” ชำแหละ “ก่อการร้ายใต้ดิน” คุมไม่ดีซ้ำรอยชายแดนใต้
โดย..ทีมข่าวการเมือง
โดย..ทีมข่าวการเมือง
“กลุ่มคนก่อการร้ายแบบกองโจรใต้ดินจะเป็นบุคคลที่ไม่มีเครื่องแบบ ปะปนอยู่กับประชาชน ซึ่งหากการข่าวกรองไม่ดีพอ อันตรายก็จะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ จากการวางระเบิด การลอบวางเพลิง การลอบก่อวินาศกรรมสถานที่ การลอบฆ่าประชาชน”
น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ
แม้ว่าการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) จะสิ้นสุดลงไปแล้วทิ้งไว้เพียงแค่ซากตึกรามบ้านช่องที่ถูกเผาย่อยยับไว้ให้ดูต่างหน้า แต่วันนี้ นาทีนี้ สิ่งที่สังคมกังวลและเป็นห่วงมากที่สุดในตอนนี้ คือ การเล่นเกมแรงแบบรุนแรงยืดเยื้อ ด้วยปฏิบัติการก่อการร้ายใต้ดิน น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.)ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง จนเป็นที่กล่าวขานว่าเป็น ซีไอเอเมืองไทย วิเคราะห์เกมใต้ดินของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดง กับ “โพสต์ทูเดย์” อย่างน่าสนใจดังนี้
น.ต.ประสงค์ เริ่มการสนทนา ว่า แม้ว่ากลุ่มคนเสื้อแดงจะยุติการชุมนุมไปแล้ว แต่ความวุ่นวายต่างๆที่จะตามมาเป็นเรื่องที่ประมาทไม่ได้ เพราะเป็นการยุติเฉพาะเวทีเสื้อแดงเท่านั้น ถึงแม้ว่าจะสามารถจับแกนนำบางคนได้ แต่คนเหล่านี้ไม่ใช่คนที่ดำเนินการเรื่องการใช้ความรุนแรง การใช้อาวุธ เพราะกลุ่มคนเสื้อแดงจะมีกองกำลังติดอาวุธติดอาวุธปะปนอยู่ โดยกองกำลังเหล่านี้มาจากอดีตทหารพรานและอดีตทหารในกองทัพมีอาวุธที่สามารถใช้งานใต้คนเหล่านี้ยังไม่ได้ถูกจับกุม รวมถึงคนที่อยู่เหนือกองกำลังติดอาวุธยังมีคณะผู้วางแผน ซึ่งประกอบไปด้วย อดีตนายทหารชั้นผู้ใหญ่ และอดีตนายตำรวจ ชั้นผู้ใหญ่ ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คนกลุ่มนี้ยังคงอยู่ยังไม่ได้สลายหรือถูกควบคุมตัวแต่อย่างใด
เขาบอกว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ตกเป็นผู้ต้องหาคดีการก่อการร้าย ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรงมากมีโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต และการเป็นผู้ก่อการร้ายยังผิดอนุสัญญาว่าด้วยการกระทำอันเป็นการก่อการร้ายของสหประชาชาติทำให้ที่ยืนของพ.ต.ท.ทักษิณ ในประเทศต่างๆถือว่าแคบลง และการที่อดีตนายทหารและตำรวจชั้นผู้ใหญ่หลายคน รวมถึงนักธุรกิจหลายคนที่สนับสนุนเสื้อแดง ได้ถูกห้ามทำธุรกรรมทางการเงิน ทำให้คนกลุ่มนี้โกรธแค้นชิงชัง รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ทวีรุนแรงสูงสุด จนจะทำอะไรก็ได้ทั้งสิ้น จึงเป็นที่มาของคำว่า “จะมีการดำเนินงานทางใต้ดิน” ซึ่งก็คือการก่อการร้าย หรือว่าการปฏิบัติในทางที่ไม่เปิดเผยเมื่อมีจังหวะและโอกาสและเป้าหมายที่จะทำลายเพื่อสร้างความหวาดกลัว ข่มขู่ ทุกรูปแบบ รัฐบาลจะประมาทไม่ได้
ซีไอเอเมืองไทย อธิบายถึง ผู้ก่อการร้ายใต้ดินว่า กลุ่มคนก่อการร้ายแบบกองโจรใต้ดินจะเป็นบุคคลที่ไม่มีเครื่องแบบ ปะปนอยู่กับประชาชน ซึ่งหากการข่าวกรองไม่ดีพอ อันตรายก็จะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ จากการวางระเบิด การลอบวางเพลิง การลอบก่อวินาศกรรมสถานที่ทั้งของทางราชการและเอกชนและที่สำคัญสถานที่อำนวยประโยชน์ทางด้านสาธารณูปโภค ไม่ว่าจะเป็น ไฟฟ้า น้ำ เขื่อน สะพานข้ามแม่น้ำ คลังน้ำมัน สถานที่เหล่านี้จากนี้เป็นต้นไปรัฐบาลต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ
เขาอธิบายต่อว่า การปฏิบัติการก่อการร้ายแบบกองโจรใต้ดิน ผู้ก่อการร้ายไม่จำเป็นต้องมีอาวุธยุทธภัณฑ์จำนวนมากเหมือนกับเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ตามแบบปกติ เพราะแม้ว่าจะมีอาวุธน้อยแต่ก็สามารถปฏิบัติการได้จนส่งผลกระทบกว้างขวาง สามารถเลือกเป้าหมาย พื้นที่ปฏิบัติการและดำเนินการได้โดยฉับพลันทันทีและสลายตัวไปปะปนอยู่กับประชาชนทั่วไป จนยากที่จะดูออกว่าใครเป็นใครในบรรดาไทยมุงทั้งหลายต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ดังนั้น จากนี้เป็นต้นไปทางเจ้าหน้าที่และรัฐบาลต้องเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานทั้งด้านการปฏิบัติการข่าวกรองข้อมูลต่างๆ วาแผนกำหนดดูแลให้ความปลอดภัยต่อสถานที่สำคัญๆ ของทางราชการและสถานที่ที่อำนวยความสะดวกด้านการคมนาคมและสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับสาธารณูปโภค โดยรัฐบาลไม่ควรนิ่งนอนใจ เพราะว่าผู้ก่อการร้ายมีข้อได้เปรียบรัฐบาลอยู่ 4 ประการ คือ
1. ผู้ก่อการร้ายสามารถหาข่าวความเคลื่อนไหวถึงการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ได้ตลอดเวลา เพราะไม่รู้ว่าใครเป็นใคร โดยอาจได้มาจากประชาชนในพื้นที่ หรือเพื่อนที่ทำงานในกองทัพ หรือในส่วนราชการอื่นๆ ถือว่าเป็นข้อได้เปรียบ ในขณะที่ฝ่ายรัฐหากการข่าวไม่ดีแม้ว่าจะมีกำลังเหนือกว่าก็คงรู้ปฏิบัติการของผู้ก่อการร้ายน้อยกว่า
2. ผู้ก่อการร้ายเหล่านี้ปะปนอยู่กับมวลชน บางทีก็ใช้มวลชนของตัวเอง โดยเฉพาะคนเสื้อแดงให้เป็นประโยชน์ ในการหลบหลีก หนีภัย หรือการให้ข้อมูลข่าวสาร เพราะเขามีมวลชนอยู่ หรือไม่เช่นนั้นก็สามารถคุกคามข่มขู่มวลชนของเขาเพื่อให้อยู่เฉยๆหรือให้ความร่วมมือกับผู้ก่อการร้าย ถือเป็นข้อได้เปรียบของผู้ก่อการร้าย
3. ผู้ก่อการร้าย หรือผู้ปฏิบัติการกองโจรใต้ดิน สามารถเชื่อมโยงติดต่อกลุ่มคนที่มีอาวุธต่างๆ เพื่อหาอาวุธได้เรื่อยๆทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการเชื่อมกับทางฝ่ายผู้ก่อการร้ายในจังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งมองข้ามไม่ได้ แม้ว่าเป้าหมายของการก่อการร้ายที่อยู่ในพื้นที่ชายแดนใต้จะไม่เหมือนกันผู้ก่อการร้ายในพื้นที่อีสานและภาคเหนือก็ตาม แต่รูปแบบการทำงานจะเหมือนกัน เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ คือ การลอบสังหาร ซึ่งจะเป็นแบบเดียวกับภาคใต้ โดยสิ่งที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด คือ คนที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น ชาวบ้าน ข้าราชการ จะตกเป็นเป็นเป้ารวมถึง ตัวนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ก็ถือว่าเป็นเป้าเช่นเดียวกัน
4. ผู้ก่อการร้ายมีความได้เปรียบที่เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงมีการทำงานที่ไม่เป็นเอกภาพ โดยเฉพาะตำรวจ เห็นได้ว่าผู้ก่อการร้ายมีข้อได้เปรียบจำนวนมาก
“เห็นได้ว่าผู้ก่อการร้ายได้เปรียบหลายอย่าง หากรัฐบาลยังทำงานต่อสู้กับขบวนการก่อการร้ายแบบการรักษาความสงบเรียบร้อบตามปกติ จะไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ต้องมีการตั้งทีมเฉพาะกิจขึ้นมาเพื่อติดตามเรื่องการข่าว การป้องกันและปราบปราม ซึ่งต้องไม่ใช่หน่วยราชการตามปกติ เพราะจะไม่สามารถดำเนินการป้องกันปราบปรามได้ทันท่วงที”
ต้องปราบเต็มที่เพราะรุนแรงกว่าเดิม
อดีตเลขา สมช. กล่าวว่า นอกจากนี้การทำงานป้องกันปราบปรามการก่อการร้าย รัฐบาลไม่ควรหวาดกลัวต่างประเทศว่าการปราบปรามป้องกันจะไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล เพราะในต่างประเทศเองนั้นถ้าเป็นการปราบปรามก่อการร้ายแบบกองโจรใต้ดิน เขาจะไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น นอกจากความสงบสุขในบ้านเมืองของเขา เพราะหากมัวแต่กลัวต่างชาติก็จะยิ่งทำให้รัฐบาลมีจุดอ่อนมากขึ้นไปอีก ทั้งนี้เราจะเห็นได้ว่ากรณีที่ สหรัฐ เข้าไปทำสงครามกับอิรัก และอัฟกานิสถาน ก็เพราะข้อหาว่าประเทศเหล่านี้มีการก่อการร้ายก็เพราะคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมของประเทศที่จะได้รับ
“ดังนั้นในบ้านเราผมขอสักทีว่าอย่ามาอ้างเรื่องมาตรการสากลกับเรื่องการปราบปรามผู้ก่อการร้าย แต่ควรทำงานให้สำเร็จก่อนไม่ต้องไปเกรงใจใครทั้งสิ้น ในเมื่อพฤติกรรมเป็นโจรก่อการร้ายแบบนี้ ไม่ใช่โจรผู้ร้ายธรรมดา ดังนั้นถึงตอนนี้การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง เป็นเรื่องที่ไม่สำคัญเท่ากับการเคลื่อนไหวของกลุ่มใต้ดินที่จะจับอาวุธอีกต่อไปแล้ว ” น.ต.ประสงค์ กล่าว
ทั้งนี้ต้องยอมรับว่ารัฐบาลเองยังไม่สามารถแก้ปัญหาก่อการร้ายในพื้นที่ภาคใต้ได้อย่างเป็นรูปธรรม เพราะผู้ก่อการร้ายยังสามารถโจมตีเป้าหมายต่างๆ ได้อย่างต่อเนื่องและมีความรุนแรงขึ้น ซึ่งหากเป็นการก่อการร้ายในกรุงเทพฯซึ่งเป็นเมืองใหญ่ตรอกซอกซอย ที่เอื้อต่อการหลบหนีของคนเหล่านี้เป็นอย่างมาก รวมทั้งมีการตึกรามบ้านช่องมากมาย ดังนั้น การระเบิด การเผา จะเกิดได้ง่ายมาก อีกทั้งที่ผ่านมารัฐบาลได้ขาดความกล้าและความเด็ดขาดในการจัดการตั้งแต่ต้นมาแล้ว
“ ดังนั้นผมขอเตือนว่าเรื่องการจัดการการก่อการร้ายใต้ดินที่รัฐบาลกลัวมาตั้งแต่แรกนั้น รัฐบาลต้องเปลี่ยนวิธีการทำงานใหม่ อย่าใช้รูปแบบเดิมจนตึกรามบ้านช่องถูกเผา รัฐบาลจะทำงานแบบเก่าไม่ได้ เพราะคราวนี้จะแรงกว่าเก่าแน่นอน” น.ต.ประสงค์ กล่าว
เขาย้ำว่า เรื่องการก่อการร้ายใต้ดินไม่จำเป็นต้องพูดถึงว่าจะมีคนจำนวนเท่าใด เพราะคนจำนวนน้อยก็สามารถก่อผลกระทบได้อย่างกว้างขวาง เช่น การทำคาร์บอมครั้งที่ผ่านมาถ้ามีการระเบิดขึ้นจริงๆ พื้นที่รอบๆในรัศมี 500 เมตร จะราบไปหมด ดังนั้น แค่การใช้คาร์บอมที่ใช้คนเพียง 1-2 คนก็สามารถทำลายล้างได้กว้างขวาง ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องมีกำลังเป็นกองร้อยหรือกองพันก็ได้ แต่สิ่งที่ต้องทำในตอนนี้ คือการหาคนวางแผนที่พอจะรู้กันอยู่ว่ามีใครบ้าง และรัฐบาลต้องดำเนินการจำกัดการทำงานของคนเหล่านี้ได้อย่างไร ส่วนจำนวนผู้ก่อการร้ายนั้นตอนที่มีการชุมนุมมีตัวเลขกองกำลังติดอาวุธอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 500 คน ซึ่งขณะนี้ยังลอยนวลอยู่ รัฐบาลควรจริงจังและทำงานให้เข้มแข็งมากกว่านี้ และไม่ต้องเกรงใจใคร ไม่เช่นนั้นความเสียหายจะยิ่งใหญ่และน่ากลัวกว่ากลางเดือน พ.ค.ที่ผ่านมาด้วยซ้ำ
“ผมต้องเตือนไว้ เพราะสิ่งที่มันจะเกิดจะโหดร้ายและโหดเหี้ยม น่ากลัวและอันตรายสูงกว่าที่ผ่านมาหลายร้อยเท่า โดยเป้าหมายของขบวนการนี้ คือ หัวหน้าขบวนการที่มีความสุขอยู่ในต่างประเทศตอนนี้ต้องการขึ้นสู่อำนาจทั้งหมดและเปลี่ยนแปลงการปกครองบ้านเมือง ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของเขา แต่เป้าหมายขั้นแรกคือการล้มล้างรัฐบาลและล้มล้างอำนาจรัฐ เพื่อเอาอำนาจนั้นมาเป็นของตัวเองก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงไปสู่เป้าหมายสูงสุดต่อไป” น.ต.ประสงค์ กล่าว
หวั่นกรุงเทพฯเป็นจังหวัดชายแดนใต้
อดีตเลขาธิการ สมช.ผู้นี้ บอกว่าการก่อการร้ายที่เกิดขึ้น มีความเป็นไปได้ที่ชีวิตคนกรุงเทพฯจะเกิดความไม่สงบแบบคนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะชาวบ้าน ข้าราชการต่างๆที่ไปทำงาน ซึ่งจะถูกคุกคามได้ง่าย เพราะคนเหล่านี้ไม่ได้มีการป้องกันตัว การสร้างความหวาดกลัวด้วยการฆ่า การสังหาร การทำร้ายคนเหล่านี้ จะทำให้เกิดความหวาดกลัวและในท้ายที่สุดอาจจะไปเข้าร่วมอยู่ภายใต้การกำกับของผู้ก่อการร้าย เหมือนในพื้นที่ชายแดนใต้ที่ในขณะนี้เจ้าหน้าที่เข้าไม่ถึง เพราะชาวบ้านถูกควบคุมโดยผู้ก่อการร้าย ทั้งนี้เรื่องมวลชนเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องมีการทำความเข้าใจเพื่อให้ประชาชนเข้าใจการทำงานของขบวนการผู้ก่อการร้าย เพื่อระมัดระวังตัว
“เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องทำให้ประชาชนเข้าใจเรื่องการก่อการร้าย ไม่ใช่มัวแต่พูดเรื่องปรองดองๆ เพราะมันไม่ใช่เวลาพูดเรื่องปรองดอง แต่เป็นเวลาการจัดการกับสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในลักษณะการก่อการร้ายในเมืองหลวงและการก่อการร้ายในจังหวัดใหญ่ๆในภาคอีสานและภาคเหนือ รัฐบาลต้องจัดการให้ได้ด้วยการตั้งหน่วยงานเพื่อทำงานเรื่องนี้โดยเฉพาะเพื่อให้เป็นเอกภาพ" น.ต.ประสงค์ กล่าว
เขาบอกว่า แม้ว่าขณะนี้มีจะมีการอายัดเงินเครือข่ายสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ไปเป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่กระทบต่อการเคลื่อนไหวของกลุ่มปฏิบัติการใต้ดิน เพราะรายได้ของพ.ต.ท.ทักษิณ ที่ได้ลงทุนเรื่องการโทรคมนาคมในประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น อินเดีย จีน เวียดนาม พม่า ทำให้มีรายได้ประมาณ 1,500-2,000 ล้านบาท ต่อเดือน เพราะฉะนั้นเงินของพ.ต.ท.ทักษิณไม่ขาดสายแน่นอน เพราะฉะนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการติดตามเอาตัวมาดำเนินคดีต่อไป
ทั้งหมดเป็นคำเตือนที่รัฐจะมองข้ามไม่ได้ ไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดเหตุการณ์ที่สายเกินแก้แบบ เมษาเลือด 52 และ พฤษภามิคสัญญี 53 ได้