posttoday

ปฏิรูประบบตำรวจและกระบวนการยุติธรรม

05 มีนาคม 2557

วันนี้พฤติกรรมของกองทัพตำรวจที่รับใช้ระบอบการปกครองเผด็จการรัฐสภาและทุจริตคอร์รัปชั่น ประชาชนจำนวนมากลุกขึ้นมาต่อต้าน

โดย...พลเดช ปิ่นประทีป เลขาธิการสถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา

กระแสแนวคิดและความพยายามในการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบตำรวจอันเป็นต้นทางที่มีความสำคัญมากนั้นมีมานานแล้ว เมื่อครั้งรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาระบบตำรวจขึ้นมาทำงาน และมีข้อเสนอเชิงนโยบายชุดหนึ่ง แต่ไม่ทันได้ดำเนินการก็หมดเวลาไปก่อน

ต่อมาในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้พยายามอีกครั้ง โดยรื้อฟื้นคณะกรรมการชุดดังกล่าวขึ้นมา แต่การดำเนินการเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้น้อยมาก เพราะแรงต้านจากภายในและสถานการณ์ความรุนแรงทางการเมืองที่ติดพัน

มาถึงวันนี้พฤติกรรมของกองทัพตำรวจที่รับใช้ระบอบการปกครองเผด็จการรัฐสภาและทุจริตคอร์รัปชั่น ประชาชนจำนวนมากลุกขึ้นมาต่อต้าน จนทำให้เกิดการเสียชีวิตไปแล้วเกือบ 20 คน และบาดเจ็บกว่า 700 ราย ทำให้กระแสเรียกร้องการปฏิรูปตำรวจทั้งระบบดังขึ้นมาอย่างเซ็งแซ่จากสังคมวงกว้าง มิใช่แค่เรื่องที่พูดคุยกันเฉพาะในหมู่นักวิชาการและผู้หวังดีอีกต่อไป

เมื่อประมวลข้อเสนอเชิงนโยบายของกลุ่ม องค์กรและเครือข่ายต่างๆ ในเรื่องนี้แล้ว คณะทำงานเวทีภาคีพัฒนาประเทศไทยพบว่าข้อเสนอหลายส่วนยังเป็นแค่การปรับปรุงพัฒนาตามปกติมากกว่าที่จะเป็นการปฏิรูปโครงสร้างจริง ดังนั้น จึงได้สังเคราะห์กรอบประเด็นในการปฏิรูปขึ้นใหม่ ดังนี้

1.ปฏิรูประบบตำรวจ

1) ปรับโครงสร้างตำรวจ กระจายอำนาจบริหารจัดการ

- ในขณะที่ข้อเสนอของคณะกรรมการพัฒนาระบบตำรวจ ให้กระจายอำนาจบริหารจากส่วนกลาง คือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ไปให้กองบัญชาการตำรวจภูธรภาคทั้ง 9 แห่ง และอีก 1 กองบัญชาการตำรวจ|นครบาล แต่ในเรื่องนี้เวทีภาคีพัฒนาประเทศไทยเห็นว่ายังไม่เพียงพอ

-ตำรวจไทยทั้งหมดกว่าสามแสนคนและโรงพัก 1,488 แห่ง ปัจจุบันรวมศูนย์อยู่กับส่วนกลางเป็นเสมือนกองทัพ หากเปรียบเทียบกับประเทศญี่ปุ่น ตำรวจทั้งประเทศรวม 2.7 แสนคน มีเพียง 7,000 คนเท่านั้นที่สังกัดอยู่ส่วนกลาง นอกนั้นร้อยละ 97 กระจายตัวสังกัดอยู่กับ 47 จังหวัด (พรีเฟคเจอร์) ทั้งสิ้น

- ดังนั้นในระยะยาว จึงเสนอว่าควร|ดำเนินการปรับโครงสร้างการบริหารจัดการตำรวจทั้งระบบ โดยศึกษารูปแบบของประเทศญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา ที่ให้บทบาทความสำคัญแก่โครงสร้าง กลไกและระบบตำรวจท้องถิ่น ส่วนในระยะเฉพาะหน้านั้น ควรกระจายการบริหารจัดการระบบตำรวจประจำพื้นที่ไปให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าฯ กทม.เสียจังหวะหนึ่งก่อน นอกจากนั้นต้องปรับบทบาท สตช.ให้ไปอยู่ภายใต้กระทรวงยุติธรรม มีคณะกรรมการนโยบายตำรวจเป็นกลไกกำกับทิศทาง ปรับปรุงสถานีตำรวจให้เป็นศูนย์บริการความปลอดภัยสังคมแบบเบ็ดเสร็จ (one stop service) และยกเลิกระบบชั้นยศแบบกองทัพ

2) เพิ่มระบบตรวจสอบและการมีส่วนร่วมของสังคม

- จัดให้มีคณะกรรมการตำรวจที่ภาคประชาชนมีส่วนร่วมอย่างจริงจัง ทั้งในระดับชาติ ภูมิภาคและระดับสถานี รวมทั้งจัดให้มีกลไกที่เป็นอิสระสำหรับพิจารณากรณีร้องทุกข์ร้องเรียนเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่หรือพฤติกรรมของตำรวจ โดยผลักดันร่าง พ.ร.บ.คณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องทุกข์เกี่ยวกับตำรวจ พ.ศ.... และทบทวน แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ...ในส่วนที่เกี่ยวข้อง

3) พัฒนาระบบงานและวิชาชีพสอบสวน

- งานสอบสวนเป็นหัวใจสำคัญในการรวบรวมพยานหลักฐาน จัดทำสำนวนและความเห็นทางคดี ซึ่งต้องใช้ความรู้ ความเชี่ยวชาญและหลักจรรยาบรรณในการปฏิบัติหน้าที่เช่นเดียวกับวิชาชีพสำคัญอื่นๆ จึงควรต้องพัฒนาระบบงานสอบสวนอย่างจริงจัง ทั้งในด้านการมีหน่วยงานวิชาการสอบสวนส่วนกลางทำหน้าที่พัฒนามาตรฐานของประเทศ ปรับปรุงสายงานสอบสวนให้มีความเป็นอิสระทางวิชาชีพ ไม่ถูกแทรกแซงจากอำนาจและอิทธิพลภายนอก สร้างดุลยภาพระหว่างเจ้าหน้าที่ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน และกำหนดอัตราค่าตอบแทนบุคลากรในวิชาชีพอย่างเหมาะสม

4) ถ่ายโอนภารกิจที่มิใช่ตำรวจและเรื่องอื่นๆ

- งานหลักของตำรวจมีสามประการ ได้แก่ การรักษาความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยของประชาชน การป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางอาญา และการถวายความปลอดภัยองค์พระมหากษัตริย์และราชวงศ์ ส่วนงานอื่นที่พอกเข้ามานอกเหนือไปจากนี้ ควรต้องถ่ายโอนกลับไปให้หน่วยงานรับผิดชอบดูแล อาทิ งานตรวจคนเข้าเมือง ตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจป่าไม้ ตำรวจรถไฟ ตำรวจน้ำ ตำรวจทางหลวง ฯลฯ

- งานผลิตและพัฒนาบุคลากรตำรวจ ควรได้รับการปรับปรุงทั้งในด้านวิชาการ หลักสูตร เทคโนโลยีและรูปแบบองค์การบริหารจัดการที่เป็นอิสระ ไม่ควรขึ้นต่อ สตช. และควรต้องมีภารกิจที่สอดคล้องกับโครงสร้างตำรวจที่จะปรับเปลี่ยนไปในอนาคต

2.ปฏิรูประบบอัยการ

- มีข้อเสนอในการปรับปรุงภาพลักษณ์และสร้างศรัทธาต่อทั้งระดับสถาบันอัยการและตัวบุคคล เสนอให้ปรับเปลี่ยนสำนักอัยการสูงสุดกลับมาเป็นสำนักงานอัยการที่ขึ้นต่อกระทรวงยุติธรรม ห้ามอัยการดำรงตำแหน่งใน|รัฐวิสาหกิจและเอกชนอันทำให้เกิดปัญหาประโยชน์ทับซ้อน ให้ยกเลิกแบบอย่างการ|สอบสวนโดยอัยการและกำหนดให้มีกรอบระยะเวลาดำเนินการที่ชัดเจนในการพิจารณาสั่งฟ้อง ยื่นฟ้อง และเปิดโอกาสให้อัยการสามารถว่าจ้างทนายความแก้ต่างแทนในอรรถคดีทั่วๆ ไปได้

3.ปฏิรูประบบตุลาการ

- มีข้อเสนอให้ปรับปรุงระบบการพิจารณาคดีอย่างจริงจังเพื่อให้มีความรวดเร็วและถูกต้อง เผยแพร่แนวคิดทางด้านตุลาการตีความก้าวหน้า (judicial activism) เพื่อเป็นทางเลือกในการสร้างนวัตกรรมและบรรทัดฐานใหม่ๆ แก่สังคม ปรับปรุงแนวทางการพิสูจน์และให้น้ำหนักของหลักฐานที่ไม่ใช่การยึดติดกับตัวเอกสารเท่านั้น เพิ่มโทษเสียค่าปรับแทนการติดคุกในคดีที่ไม่รุนแรง และจัดทำประมวลจริยธรรมตุลาการเพื่อสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาของสังคม

4.ปฏิรูประบบราชทัณฑ์และการลงโทษ

-เพื่อแก้ปัญหานักโทษล้นคุก มีข้อเสนอให้ลดบทบัญญัติกำหนดโทษอาญาเหลือเท่าที่จำเป็น โดยเฉพาะความผิดที่มีลักษณะต่อบุคคลมิใช่ต่อแผ่นดิน ลดปริมาณคดีโดยกระบวนการเบี่ยงเบนคดี ชะลอฟ้องร้อง และการคุมประพฤติ เพิ่มโทษค่าปรับสูงสุดและกลไกการปรับสูงสุดตามดัชนีผู้บริโภค ปฏิรูประบบเรือนจำและราชทัณฑ์ แยกผู้ต้องขังแต่ละประเภท ยกเลิกการตีตรวน การริเริ่มรูปแบบใช้สถานที่กักกันหรือนิคมมาเป็นมาตรการเสริม ปรับปรุงพัฒนาระบบการลงโทษเพื่อแก้ไขฟื้นฟูให้มีทั้งแบบที่ดูแลโดยชุมชน แบบกำกับดูแลโดยใกล้ชิดของเจ้าหน้าที่และแบบคุมขังในเรือนจำประกอบกันอย่างสมดุล