posttoday

ตัดปมร้อนลุยกู้ 2 ล้านล้าน

19 มีนาคม 2556

ส่งสัญญาณลุย เดินหน้าร่าง พ.ร.บ.การให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานวงเงิน 2 ล้านล้านบาท แบบไม่สนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์

โดย...ธนพล บางยี่ขัน

ส่งสัญญาณลุย เดินหน้าร่าง พ.ร.บ.การให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานวงเงิน 2 ล้านล้านบาท แบบไม่สนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์

ดีเดย์ 19 มี.ค.นี้ นำเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบ ก่อนส่งต่อให้สภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบ ซึ่งคาดว่าจะเป็นวันที่ 2728 มี.ค.นี้

เหตุที่ต้องเร่งผลักดันกฎหมายกู้เงินออกมาในช่วงเวลานี้ ว่ากันว่าเป็นเพราะสภาพถังแตกจากสารพัดนโยบายประชานิยมจนไม่เหลือไปหยิบจับขับเคลื่อนนโยบายใหม่ๆ ได้

งบประมาณก้อนโต 2 ล้านล้านบาท จึงเป็นทางออกสุดท้ายที่จะทำให้รัฐบาลเนรมิตรถไฟฟ้า 10 สาย ในกรุงเทพมหานคร (กทม.) รถไฟสายใหม่ รถไฟความเร็วสูง รถไฟรางคู่ การทำถนน 4 เลน ฯลฯ และโครงการอื่นๆ ได้แบบไร้รอยต่อ

ยิ่งคำนวณแล้วผลงานที่จะออกมาเป็นรูปธรรมจับต้องได้ ย่อมถูกแปรเปลี่ยนไปสู่คะแนนนิยมย้อนกลับไปยังรัฐบาลเพื่อไทยและนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แบบถล่มทลาย

ยังไม่รวมกับเบี้ยบ้ายรายทางที่จะกระเด็นออกมาเข้ากระเป๋าใครต่อใครอีกมหาศาล

ดังนั้น ต่อให้มีเสียงต้านเสียงคัดค้านแค่ไหน พ.ร.บ.กู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท ก็ยังเป็นเป้าหมายสำคัญที่จะต้องเร่งผลักดันไปให้ถึงฝั่งฝันให้ได้

สัญญาณที่ชัดเจนอยู่ที่สไกป์จากคนแดนไกล ส่งมากำชับ สส.เพื่อไทย ให้ช่วยกันอธิบายให้ประชาชนทราบถึงเหตุผลและความจำเป็นในการออกร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว เพราะหาก พ.ร.บ.นี้ผ่านออกไปก็จะทำให้ประเทศไทยเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ

เมื่อธงหลักออกมาเช่นนี้ ทุกปัจจัยรุมเร้าอื่นๆ ที่จะสุ่มเสี่ยงต่อเสถียรภาพของรัฐบาล จนทำให้กฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทต้องสะดุด จึงต้องถูกพักยกเอาไว้ชั่วคราว

ไล่มาตั้งแต่การปรับ ครม.ปู 5 ที่ฝุ่นกำลังตลบเวลานี้ ที่จำเป็นจะต้องเป็นเพียงแค่การปรับเล็กเท่าที่จำเป็นไม่กี่ตำแหน่ง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดแรงกระเพื่อมภายใน

ตำแหน่งที่จะต้องปรับก็หนีไม่พ้น รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา แทน “ชุมพล ศิลปอาชา” ที่ถึงแก่อสัญกรรม ซึ่งค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า “บิ๊กเติ้ง” บรรหาร ศิลปอาชา วางตัว สมศักย์ ภูรีศรีศักดิ์ อดีต ผวจ.สุพรรณบุรี มารับตำแหน่งนี้ และให้ ยุคล ลิ้มแหลมทอง รมว.เกษตรและสหกรณ์ ควบรองนายกฯ อีกตำแหน่ง

ในขณะที่ตำแหน่งอื่นๆ เลิกคิดปิดสาย เมื่อสัญญาณนายใหญ่จากดูไบเห็นด้วยแล้วกับนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ยังไม่ถึงเวลาปรับ ครม.ของพรรค ขอให้พร้อมใจยกมือผ่านร่างกฎหมายกู้เงินไปก่อน

ดังนั้น กางปฏิทินการเมืองดูจังหวะเวลากันแล้ว การจะปรับใหญ่กันอีกครั้งก็จะเป็นสิ้นเดือน ธ.ค. ที่สมาชิกบ้านเลขที่ 109 พ้นโทษแบน

แต่ที่แน่ๆ ไม่มีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งสำคัญที่จะเป็นกลไกขับเคลื่อน พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงการคลัง พาณิชย์ คมนาคม ที่หากเปลี่ยนแปลงย่อมกระทบต่อการเดินหน้าโครงการต่างๆ ที่ได้วางไว้แล้ว

ถัดมาที่ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมืองการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน ที่ 42 สส.เพื่อไทย เสนอเข้ามาจ่อรอการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งทาง สส.แดงเตรียมใช้เอกสิทธิ์เสนอเลื่อนวาระขึ้นมาพิจารณาเป็นลำดับแรก

ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 มี.ค. วรชัย เหมะ สส.แดงสมุทรปราการ แกนนำ 42 สส. ทำพิธีกรรมยื่นใส่มือ สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภา ให้บรรจุเข้าสู่วาระสภาแล้ว จากนี้ได้ลุ้นขั้นตอนดันเป็นวาระเร่งด่วน

แต่ถ้าสัญญาณเดินหน้าลุยร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ก็อาจทำให้รัฐบาลต้องปล่อยให้ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ค้างวาระไว้รอเป็นคิวต่อไป

ยิ่งประเมินเสียงต้านที่ออกมาฮึ่มฮั่ม เตรียมตบเท้าเคลื่อนไหวออกมาคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเวลานี้ คงไม่เป็นเรื่องดีสำหรับรัฐบาลที่จะต้องแบกรับแรงเสียดทานหลายด้าน เพราะหากพลาดพลั้งอาจทำให้โครงการที่รอใช้เงิน 2 ล้านล้านบาท ต้องสะดุด

หลังจากตัดปัจจัยรุมเร้าต่างๆ ออกไป สุดท้ายก็จะเหลือแค่ด่านสำคัญในสภาผู้แทนราษฎร ที่ฝ่ายค้านลับมีดรอชำแหละอภิมหาเงินกู้รอบนี้

เพราะอย่าลืมว่าแผลเก่าอย่างเงินกู้ 3.5 แสนล้านบาท ที่เคยอ้างว่าจะเร่งนำมาใช้ในโครงการบริหารจัดการน้ำ แต่สุดท้ายผ่านไปปีกว่าเบิกจ่ายจริงเพียงแค่ราว 6,000 ล้านบาท ยังไม่รวมกับกระแสเงื่อนงำความไม่โปร่งใสในหลายจุดของงบกลางในส่วนของการแก้ปัญหาน้ำ

การจะออกเป็นกฎหมายเปิดช่องให้กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท เพื่อเปิดช่องให้ใช้ช่องทางพิเศษหลีกเลี่ยงการตรวจสอบระบบงบประมาณปกติ ทั้งที่หากคำนวณการลงทุนทั้ง 7 ปี สามารถจะนำไปบรรจุลงในงบประมาณปกติประจำปีได้

โดยเฉพาะความเป็นห่วงเรื่องหนี้สาธารณะที่ทีดีอาร์ไอห่วงว่าจะพุ่งทะลุเพดานไปอยู่ที่ 7080% ของจีดีพี ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่เอาแน่เอานอนไม่ได้เช่นนี้

ปมปัญหาคาใจเหล่านี้ รัฐบาลต้องชี้แจงคลายข้อสงสัยให้ได้ ก่อนที่จะลุยกู้เงินก้อนใหญ่ที่สุดท้ายก็หนีไม่พ้นประชาชนที่จะต้องมาแบกรับภาระในที่สุด