posttoday

ปฏิรูปเศรษฐกิจ-ปราบคอร์รัปชัน ภาระสุดหินรอรับ'สีจิ้นผิง'

09 พฤศจิกายน 2555

หลังทราบผลการเลือกตั้งผู้นำในประเทศอภิมหาอำนาจเบอร์ 1 โลกอย่างสหรัฐ ไปได้เพียงแค่วันเดียว

โดย...พันธสิทธิ เจริญพาณิชย์พันธ์

หลังทราบผลการเลือกตั้งผู้นำในประเทศอภิมหาอำนาจเบอร์ 1 โลกอย่างสหรัฐ ไปได้เพียงแค่วันเดียว ทั่วโลกก็หันเหความสนใจมาจับตาดูความเคลื่อนไหวของการเปลี่ยนถ่ายอำนาจการปกครองของอีกหนึ่งมหาอำนาจอย่างจีนโดยทันที

กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจในจีนได้เริ่มต้นขึ้น เมื่อทางพรรคคอมมิวนิสต์ได้กำหนดวันที่จะมีการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคครั้งที่ 18 ขึ้นตั้งแต่วันที่ 8–14 พ.ย. เพื่อใช้เวลาในการประกาศวิสัยทัศน์การบริหารประเทศในอนาคต พร้อมเปิดตัวและรับรองคณะผู้นำชุดใหม่ที่จะก้าวเข้ามาเป็นสมาชิกถาวรคณะกรรมาธิการประจำกรมการเมือง

โดยผู้ที่คาดว่าจะเข้ามาดำรงตำแหน่งอย่างแน่นอนแล้วก็คือ สีจิ้นผิง ว่าที่ประธานาธิบดีใหม่ ที่จะขึ้นต่อจากหูจิ่นเทา ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน กับหลี่เค่อเฉียง ว่าที่นายกรัฐมนตรี ที่จะขึ้นต่อจากเวินเจียเป่า ในต้นปีหน้า

คาดว่าในการประชุมดังกล่าว หูจิ่นเทาจะประกาศอำลาจากตำแหน่งเลขาธิการพรรค เพื่อเปิดทางให้ สีจิ้นผิง ได้เข้ามาแทนที่ และเป็นการรับประกันว่าจะได้เป็นประธานาธิบดีต่อไปในช่วงเดือน มี.ค.ปีหน้าอย่างแน่นอน

แม้ว่าระบบการปกครองจีนจะเป็นระบบปิดตามสไตล์ประเทศคอมมิวนิสต์ที่มีระบบการเปลี่ยนถ่ายอำนาจผู้นำจากรุ่นสู่รุ่นอย่างเป็นแบบแผนแน่นอน ไม่ต้องคอยลุ้นให้เหนื่อยว่าใครจะขึ้นมาเหมือนดังเช่นการเลือกตั้งในระบบเสรีประชาธิปไตย

ทว่าในด้านของ “ความท้าทาย” หลังจากเข้ารับตำแหน่งต่อนั้น กลับหนักหนาสาหัสไม่น้อยเลยทีเดียว เนื่องจากการขึ้นมารับตำแหน่งของสีจิ้นผิง เป็นช่วงเวลาที่ประจวบเหมาะกับที่จีนกำลังประสบปัญหาทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และเรื่องอื้อฉาวของผู้นำระดับสูงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องพอดิบพอดี

ปฏิรูปเศรษฐกิจ-ปราบคอร์รัปชัน ภาระสุดหินรอรับ'สีจิ้นผิง'

ประเด็นแรก ที่ผู้นำจีนจะต้องเจอนั่น คือ “การชะลอตัวทางเศรษฐกิจลงอย่างหนัก” ซึ่งเป็นผลมาจากการพึ่งพิงสัดส่วนการส่งออกและลงทุนจากต่างชาติมากเกินไป ทำให้เศรษฐกิจจีนได้รับผลกระทบอย่างหนักตามไปด้วย เมื่อยุโรปเผชิญวิกฤตการณ์หนี้สาธารณะ ในขณะที่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐก็เป็นไปอย่างเชื่องช้า โดยล่าสุดการขยายตัวของจีดีพีจีนในไตรมาส 3 โตได้แค่ 7.4% ต่ำที่สุดเกือบ 3 ปี สวนทางกับเมื่อช่วง 10 ปีที่แล้ว ที่จีนมีอัตราการขยายตัวกว่า 10.6%

ประเด็นปัญหาต่อมาที่ต้องเผชิญนั่น คือ “ช่องว่างของรายได้” เมื่อการกระจายรายได้ระหว่างคนเมืองกับคนชนบทยังไม่เป็นธรรม ซึ่งข้อมูลขององค์การพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นดีพี) ระบุว่า ชาวจีนที่มีรายได้ต่ำกว่า 1.25 เหรียญสหรัฐ (ราว 30 บาท) ต่อวัน มีสัดส่วน 13% จากประชากรทั้งหมด 1,300 ล้านคน

จีนซึ่งขึ้นชื่อว่ามีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ยังคงเป็นประเทศหนึ่งที่รายได้เฉลี่ยโดยทั่วไปของคนทั้งประเทศยังต่ำอยู่มากที่สุด ยืนยันได้จากตัวเลขของธนาคารโลก ที่ระบุว่า จีนเป็นประเทศที่มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากรในปี 2553 อยู่ในอันดับที่ 121 ของโลก ที่ 4,260 เหรียญสหรัฐ (ราว 1.27 แสนบาท) ต่อปี ซึ่งเป็นจำนวนที่ใกล้เคียงกับจอร์แดนและไทย ซึ่งมีขนาดเล็กว่า และรายได้ดังกล่าวยังถือว่าน้อยกว่าสหรัฐเกือบ 10 เท่า ที่ 47,140 เหรียญสหรัฐ (ราว1.4 ล้านบาท)

ประเด็นปัญหาที่สาม คือ “ความไร้ประสิทธิภาพของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ” ซึ่งพบว่ารัฐวิสาหกิจจีนมักได้เงินกู้ง่ายกว่าบริษัทเอกชนทั่วไป แลมักจะเกิดปัญหาการสร้างปัญหาหนี้เสียเป็นจำนวนมาก รวมถึงเกิดปัญหาการใช้ทรัพยากรไปอย่างไร้ประโยชน์

ประเด็นที่สี่ คือ “การทุจริตคอร์รัปชันในหมู่นักการเมืองและข้าราชการ” ซึ่งล่าสุดหนังสือพิมพ์นิวยอร์ก ไทมส์ ในสหรัฐ ได้ออกมาตีแผ่ว่า นับตั้งแต่นายกรัฐมนตรีเวินเจียเป่าขึ้นมามีอำนาจ เหล่าญาติพี่น้องต่างมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติถึง 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 6 หมื่นล้านบาท) จนสร้างความเสื่อมเสียแก่ภาพลักษณ์ของพรรคอย่างหนัก ซึ่งทางพรรคได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนเรื่องดังกล่าวในเวลาต่อมา

ด้วยภาวะเร่งด่วนของปัญหาที่กำลังบีบคั้นและถาโถมผู้นำจีนนี้เอง จึงไม่แปลกนักที่จะได้เห็นประธานาธิบดีหูจิ่นเทาออกมาแก้เกี้ยวด้วยการส่งสัญญาณและพยายามสร้างเงื่อนไขต่อการส่งผ่านอำนาจไปผู้นำชุดใหม่ที่จะก้าวขึ้นมาแทนที่ให้ง่ายขึ้นในที่ประชุมพรรคเมื่อวานนี้ว่า ในอนาคต จีนจะต้องเร่งการปฏิรูปประเทศทั้งทางเศรษฐกิจและการเมืองอย่างแน่นอน

สิ่งที่น่าสนใจและจับตามอง ได้แก่ การตั้งเป้าเพิ่มรายได้ของภาคครัวเรือนในประเทศให้ได้ 2 เท่าภายใน 10 ปี การลดเงื่อนไขการกำกับภาคการเงิน สินเชื่อ และปฏิรูประบบอัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงการส่งสัญญาณที่ชัด ว่าต่อจากนี้จีนจะเริ่มหันมามุ่งเน้นการพึ่งพาการเติบโตทางเศรษฐกิจจากฐานตลาดภายในให้มากขึ้น

“เราควรมุ่งเน้นยุทธศาสตร์ไปที่การกระตุ้นการบริโภคจากภายใน และเร่งจัดตั้งกลไกในระยะยาว เพื่อเพิ่มการบริโภคของประชาชน การลงทุนจากตลาดภายในมากขึ้น” หูจิ่นเทา กล่าว พร้อมกับเสริมว่าจะเริ่มเร่งรัดให้เกิดการปฏิรูป ระบบการกำหนดอัตราดอกเบี้ย และระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวน ให้อิงกับระบบกลไกลตลาดเสรีมากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม แม้สิ่งที่หูจิ่นเทาให้คำมั่นสัญญาออกมาจะเป็นการสร้างเงื่อนไขที่ดี และเริ่มเห็นแนวทางการดำเนินงานและบริหารประเทศของคณะผู้บริหารชุดใหม่ในอนาคตอย่างกว้างๆ แต่บรรดานักวิเคราะห์จำนวนไม่น้อยต่างยังคงกังขากับแนวทางการปฏิรูปดังกล่าวว่า จะนำไปสู่การปฏิบัติจริงได้มากน้อยเพียงใด

ทั้งนี้ เป็นเพราะแนวทางการปฏิรูปดังกล่าว โดยเฉพาะการลดการให้การสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเป็นพิเศษแก่รัฐวิสาหกิจ และการยกเลิกภาษีหลายๆ อย่าง อาจส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์อำนาจเดิมในประเทศ อาทิ รัฐวิสาหกิจที่เคยได้รับเงินกู้อย่างง่ายดาย หรือรัฐบาลท้องถิ่นที่ได้เคยได้รับรายได้จากภาษีอาคารสถานที่อย่างมาก จะต้องรุกขึ้นมาคัดค้านอย่างแน่นอน

ดังนั้น กลุ่มคณะผู้นำชุดใหม่ของสีจิ้นผิงจึงอาจต้องรอให้ฐานอำนาจแข็งแกร่งพอเสียก่อนถึงจะเริ่มดำเนินการ

“การขับเคลื่อนนโยบายใดๆ ก็ตาม คงจะต้องรอให้สีจิ้นผิงสร้างบารมีและฐานอำนาจให้มั่นคงเสียก่อน ดังนั้นถ้าทุกฝ่ายกำลังเฝ้าให้สีจิ้นผิงดำเนินการทันทีหลังจากขึ้นรับตำแหน่งต้นปีหน้า ขอแนะนำว่าอย่ารอให้เสียเวลา” เถาตง หัวหน้านักวิเคราะห์เศรษฐกิจเอเชีย จากธนาคารเครดิตสวิสกรุ๊ป เอจี สาขาฮ่องกง กล่าว

ภารกิจที่รออยู่เบื้องหน้า จึงเป็นเรื่องสุดท้าทายที่อาจต้องใช้เวลาอย่างค่อยเป็นค่อยไปในทศวรรษใหม่ของผู้นำรุ่นที่ 5 อย่างสีจิ้นผิง