posttoday

เติมไฟแต่ต้นลม ตั้งข้อหากบฏ'เสธ.อ้าย-สนธิ'

02 พฤศจิกายน 2555

ในที่สุดคนเพิ่งขึ้นหลังเสืออย่าง “เสธ.อ้าย” พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานองค์การพิทักษ์สยาม

โดย...ไพบูลย์ กระจ่างวุฒิชัย

ในที่สุดคนเพิ่งขึ้นหลังเสืออย่าง “เสธ.อ้าย” พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานองค์การพิทักษ์สยาม ก็โดนคดีตามที่คาด หลังจากตำรวจกองปราบปรามออกหมายเรียกให้มารับข้อกล่าวหายุยงให้เกิดกบฏ

สืบสาวราวเรื่องพบว่าคดีนี้มีที่มาจากการเข้าแจ้งความของ “คารม พลพรกลาง” ทนายความกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 114 ว่าด้วยการ ยุยงให้ราษฎรเป็นกบฏ และมาตรา 115 ยุยงให้ทหารหรือตำรวจหนีราชการ ก่อการกำเริบไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย โดยอ้างอิงคำให้สัมภาษณ์ของ เสธ.อ้าย ที่ยุยงให้ทหารรัฐประหารล้มรัฐบาลเมื่อเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา

การแจ้งความครั้งนั้นยังพ่วงให้ตำรวจเอาผิดกับ “สนธิ ลิ้มทองกุล” แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ในข้อหาเดียวกัน เพียงแต่ต่างกรรมต่างวาระ

แกนนำเสื้อเหลืองโดนคดีนี้ เมื่อครั้งพูดในรายการสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี ที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกันเมื่อเดือน ม.ค. ช่วงเวลาคาบเกี่ยวกับ เสธ.อ้าย แบบพอดิบพอดี

ตามขั้นตอนของประมวลวิธีพิจารณาความอาญา กำหนดว่าหากไม่มารับทราบข้อกล่าวหาโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร จะเป็นอำนาจและดุลพินิจของพนักงานสอบสวนว่า ถ้าบุคคลที่ถูกหมายเรียกมีเจตนาหลบเลี่ยงอาจส่งผลให้ขอศาลเพื่อออกหมายจับได้ แต่หากมีเหตุผลสมควรก็อาจจะออกหมายเรียกซ้ำแทน

ความน่าสนใจในกรณีนี้ คือ การทอดระยะเวลาเพื่อออกหมายจับของตำรวจ

ข้อเท็จจริงเป็นที่ทราบกันดีว่า ทั้ง เสธ.อ้าย และสนธิ ถ่ายทอดคำพูดเกี่ยวกับการรัฐประหารล้มรัฐบาล และทนายเสื้อแดงก็ได้เข้าแจ้งความในช่วงเดือน ม.ค.เช่นกัน ประกอบกับยังได้เรียกร้องให้ตำรวจเร่งรัดดำเนินคดีอย่างรวดเร็วหลายครั้ง

เติมไฟแต่ต้นลม ตั้งข้อหากบฏ'เสธ.อ้าย-สนธิ'

แต่ทำไมถึงรอระยะเวลาเกือบ 11 เดือน เพื่อมาออกหมายเรียกและรับข้อหาในเดือน พ.ย. ที่สำคัญ ข้อหาในส่วนของ เสธ.อ้าย ก็ไม่ได้มาจากการชุมนุมเมื่อวันที่ 28 ต.ค. แต่เป็นการตั้งข้อหาจากคำพูดตั้งแต่ต้นปี 2555

ดังนั้น มองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากหวังผลทางการเมืองทั้งทางตรงและทางอ้อม

แม้ว่าท่าทีจากรัฐบาลไม่ว่าจะเป็น “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี จะออกตัวแรงเสียงดังว่า “รัฐบาลไม่เกี่ยว” แต่ก็คงจะหลีกเลี่ยงคำครหาได้ยาก เพราะสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นหน่วยงานขึ้นตรงกับรัฐบาล และฝ่ายการเมืองก็เข้าไปแทรกแซงมาตลอด

มองจุดประสงค์ในการออกหมายเรียกรอบนี้ ก็เพื่อต้องการปรามม็อบสนามม้า สร้างความหวั่นไหวให้กับมวลชนต่อต้านรัฐบาล ภายใต้หลักว่าด้วยการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม

ฝ่ายรัฐบาลประจักษ์แล้วว่าม็อบนี้ไม่ธรรมดา เพียงแค่วันเดียวสามารถเรียกคนมาร่วมอุดมการณ์ได้นับหมื่น ขืนปล่อยไว้อาจสร้างกระแสลุกลามได้

การตั้งข้อหาให้กับผู้นำม็อบจึงมีความจำเป็น เพื่อให้ เสธ.อ้าย กลัว และตัดพลังม็อบที่เตรียมเคลื่อนไหวอีกครั้งในเร็วๆ นี้

ทว่า แผนนี้อาจไม่ได้ผล ตรงกันข้ามอาจเป็นการราดน้ำมันในกองฟืน

เหตุผลสำคัญอยู่ที่อารมณ์ของกลุ่มมวลชนเวลานี้กำลังฮึกเหิม พร้อมที่จะออกมาตามเสียงนกหวีดของแกนนำ

ขณะเดียวกัน เหตุที่ม็อบจุดติดมาจากการทำตัวเองของฝ่ายรัฐบาล เนื่องจากรัฐบาลสบประมาทว่าไม่มีราคา ปลุกไม่ขึ้น ผู้นำมวลชนไม่มีพลัง และสถานการณ์ไม่สุกงอม

ควบคู่กับฝ่ายปฏิบัติโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจรายงานสถานการณ์ไม่ตรงกับความเป็นจริง ส่งผลเสียต่อการประเมินสถานการณ์เพื่อหาแนวทางแก้ไข

มาตรการโต้กลับของรัฐบาลผ่านการตั้งข้อหายุยงให้เกิดกบฏ อาจผิดพลาดในการดำเนินยุทธวิธีทางการเมือง ซึ่งจะก่อให้เกิดความขัดแย้ง เร่งเร้าการเผชิญหน้ามากขึ้น

ล่าสุด กองปราบฯ ในฐานะผู้มีอำนาจบังคับใช้กฎหมายและทำคดีนี้ ยอมปรับเปลี่ยนแผนเล็กน้อยจากเดิมให้ เสธ.อ้าย และสนธิ มารับทราบข้อหาในวันที่ 7 พ.ย. พร้อมกัน เปลี่ยนเป็นให้แยกกันมาแทน โดยให้ เสธ.อ้าย มาวันที่ 15 พ.ย. ส่วน สนธิ มาวันที่ 22 พ.ย.

แยกกันคนละวันเพื่อไม่ให้ม็อบ 2 กลุ่ม ซึ่งมีแนวร่วมคัดค้านรัฐบาลนี้ ยกพลมาให้กำลังใจ สนธิ และ เสธ.อ้าย ในวันเดียวกัน ลดความร้อนของม็อบลง ทอนกำลังไม่ให้มวลชนของ 2 คน มาที่กองปราบปรามพร้อมกัน ประเมินแล้วว่าหากกำหนดวันที่ 7 พ.ย. ตามเดิม จะมีม็อบสนามม้าและมวลชนแฟนคลับสนธิมารวมตัวคับคั่ง

แน่นอนว่า ย่อมยากต่อการบริหารสถานการณ์ และเสี่ยงต่อการปะทะกับคนเสื้อแดงเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นแล้วเมื่อเดือน ก.ย.

แต่จะว่าไปแล้วการจัดการแบบนี้อาจจะไม่ตรงกับความเป็นจริงมากนัก แม้ พธม.จะรักษาระยะห่างกับม็อบ เสธ.อ้าย แต่ในทางปฏิบัติกลับพบว่ามีการสนับสนุนให้ทางอ้อมผ่านช่องทางกองทัพธรรมที่มี พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เป็นตัวจักรสำคัญอยู่

บางทีการกำหนดให้วันรับทราบข้อกล่าวหาคนละวันกัน อาจเป็นผลให้ตำรวจต้องเหนื่อย 2 เท่า ทั้งที่ควรจะเหนื่อยแค่วันเดียว เพราะมวลชนของทั้งสองคนเป็นกลุ่มเดียวกันที่พร้อมจะมาให้กำลังใจแกนนำม็อบและสำแดงพลังทั้ง 2 วัน

การตั้งข้อหายุยงก่อให้เกิดกบฏ อาจดูสะใจกับมวลชนเสื้อแดงที่เห็นว่าต้องใช้กฎหมายจัดการม็อบอย่างเคร่งครัด โดยเด็ดที่ส่วนหัวก่อน แต่ต้องระวังเป็นการเติมเชื้อความร้อนให้ม็อบต่อต้านรัฐบาลที่จะขยายแนวร่วมหนักขึ้น ยิ่งช่วงเวลาดังกล่าวใกล้วันร้อนในสภากับญัตติอภิปรายทั่วไป หรือการตรวจสอบรัฐบาลโดยวุฒิสภา และญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน