posttoday

ภท.ยุค'อนุทิน-ศักดิ์สยาม' ค้านปวกเปียก-รอเสียบรัฐบาล

18 ตุลาคม 2555

เป็นไปตามความคาดหมาย เมื่อ “เสี่ยหนูอนุทิน ชาญวีรกูล” เข้ามากุมบังเหียนหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ภายหลังพ้นโทษตัดสิทธิการเมือง 5 ปี

โดย...ชัยรัตน์ พัชรไตรรัตน์

เป็นไปตามความคาดหมาย เมื่อ “เสี่ยหนู-อนุทิน ชาญวีรกูล” เข้ามากุมบังเหียนหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ภายหลังพ้นโทษตัดสิทธิการเมือง 5 ปี นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งของพรรค ท่ามกลางความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่การเลือกตั้งใหญ่เมื่อปี 2554

ต้องยอมรับว่า ทันทีที่ภูมิใจไทยต้องเปลี่ยนสถานะจากรัฐบาลกว่า 2 ปี มาเป็นฝ่ายค้านร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์มีความหวาดระแวงภายในพรรคกันตลอดว่า จะเกิดปรากฏการณ์งูเห่าหรือไม่ โดยเฉพาะกับกลุ่มมัชฌิมาของ “สมศักดิ์ เทพสุทิน”

แล้วความหวาดระแวงนั้นก็เป็นจริงขึ้นมาเมื่อ 7 สส.กลุ่มมัชฌิมาค่อยๆ เริ่มเอาใจออกห่าง “เนวิน ชิดชอบ” ทีละเล็กละน้อย เห็นได้จากการไม่ร่วมประชุมกับพรรคหรือเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองหลายต่อหลายครั้ง เพื่อแต่งตัวรอเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ทำให้สองนายใหญ่ “เนวินอนุทิน” ประกาศภายในพรรคและที่รับทราบกันดีแล้วว่า “พวกเรามีกันเพียง 27 คน”

แต่จนแล้วจนรอดถึงวันนี้ยังไม่มีสัญญาณจากพรรคเพื่อไทย แม้แต่น้อยว่าจะอ้าแขนรับ สส.กลุ่มมัชฌิมาเข้ามาร่วมรัฐบาล เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แสดงความต้องการว่าถ้าจะมาร่วมรัฐบาลต้องมาทั้งพรรค 34 คน ไม่ใช่แค่ 7 คน รวมไปถึงท่าทีของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ก็เพิ่งประกาศว่ายังไม่ปรับคณะรัฐมนตรีในช่วงนี้

เจอประกาศิตลงมาแบบนี้ หัวหน้ากลุ่มมัชฌิมาจึงต้องรอเวลาและจังหวะไปก่อนพร้อมๆ กับสานสัมพันธ์กับพรรคเพื่อไทยไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะการเดินทางไปอวยพรวันเกิด พ.ต.ท.ทักษิณ ถึงฮ่องกงเพื่อทอดไมตรี ขณะที่ก็แสดงเจตนารมณ์ด้วยการไม่สังฆกรรมกับภูมิใจไทยอย่างเป็นทางการ

ภท.ยุค'อนุทิน-ศักดิ์สยาม' ค้านปวกเปียก-รอเสียบรัฐบาล

 

การสะบั้นสัมพันธ์ของสมศักดิ์ที่มีต่อพรรคกระทำผ่านการไม่เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค เมื่อวันที่ 14 ต.ค.ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นแล้วว่าจากนี้ไปทางใครทางมัน

ที่สุดแล้วพรรคภูมิใจไทยก็อยู่ภายใต้การควบคุมของ “เนวินอนุทิน” แบบเบ็ดเสร็จ

แน่นอนว่าพรรคภูมิใจไทยในเวอร์ชันเหล้าเก่าในขวดใหม่กำลังเป็นที่น่าจับตามองว่า การทำงานการเมืองต่อจากนี้ไปจะมีทิศทางอย่างไรในเมื่อตัวเองยังสวมหมวกฝ่ายค้านร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ในเวลานี้ โดยสามารถถอดรหัสได้จากคำให้สัมภาษณ์ของเสี่ยหนูต้อนรับตำแหน่งหัวหน้าพรรค

“บทบาทเราก็จะทำหน้าที่ฝ่ายค้านแบบมืออาชีพ วันนี้ไม่ใช่เวลาที่จะใช้การเมืองเป็นเกมต่อรอง

...หากว่ามีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ เราก็ต้องร่วมลงชื่อด้วย และในช่วงการชี้แจง หากรัฐมนตรีคนไหนชี้แจงได้ในข้อกล่าวหาได้ชัดเจน อาจจะยกมือให้ด้วยก็ได้ แต่ถ้าชี้แจงไม่ชัดเจนก็ยกมือค้านเต็มที่”

ค่อนข้างแปร่งๆ พอสมควรสำหรับทิศทางของพรรคภูมิใจไทยผ่านท่าทีของเสี่ยหนู กล่าวคือ ด้านหนึ่งพร้อมล่มหัวจมท้ายกับประชาธิปัตย์ แต่อีกด้านหนึ่งก็พร้อมจะเดินจากไปเช่นกัน เพื่อปล่อยให้การเมืองในสภาเป็นเรื่องของ “เพื่อไทยประชาธิปัตย์” ทะเลาะกันเอง

อย่าได้แปลกใจทำไมเริ่มมีการตั้งข้อสังเกตว่า พรรคภูมิใจไทยกำลังแต่งตัวรอร่วมรัฐบาลหรือไม่

ประเด็นนี้เริ่มเป็นที่สังเกตจากการประกาศเล่นการเมืองของเนวิน จะขอเอาดีด้านฟุตบอลมากกว่าการเมือง

จะว่าไปแล้วก็มีเหตุมีผลสนับสนุนพอสมควรกับการเลิกเล่นการเมือง ย้อนกลับไปดูสโมสรบุรีรัมย์ยูไนเต็ดเวลานี้กำลังเข้าสู่ภาวะขาลงอย่างน่าใจหาย จากเดิมที่มีดีกรีเป็นแชมป์เก่าฟุตบอลไทยแลนด์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลที่แล้วกลับต้องเสียแชมป์แบบไม่มีลุ้น

แต่เอาเข้าจริง “เนวิน” ก็ตัดการเมืองไม่ขาด เพราะได้ส่ง “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” น้องชายเข้ามาทำหน้าที่เลขาธิการพรรค

ศักดิ์สยาม คือ คนที่ไว้วางใจที่สุดคนหนึ่งมิเช่นนั้นคงไม่ส่งไปรับตำแหน่งประธานคณะทำงานให้กับ “ชวรัตน์ ชาญวีรกูล” เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเจ้ากระทรวงมหาดไทยมาแล้ว ประกอบกับศักดิ์สยามเองก็ไม่ใช่คนอื่นไกล อดีตเคยเป็น สส.พรรคไทยรักไทย มาก่อน ย่อมไม่มีปัญหาในการต่อท่อกับพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว

ที่สำคัญการมีน้องเนวินอยู่ในพรรคก็ช่วยให้ลูกพรรคยังอุ่นใจได้ว่า นายใหญ่บุรีรัมย์ไม่ได้หายไปไหน ช่วยให้พรรคไม่เกิดสภาพบ้านแตกสาแหรกขาดเหมือนในอดีต

แสดงให้เห็นว่าการขอเว้นวรรคทางการเมือง จึงเป็นเพียงการหลบฉากชั่วคราว เพื่อให้พรรคเพื่อไทยรวมไปถึงกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ลืมอดีตสมัยที่เนวินเคยทิ้งหักกับนายใหญ่มาร่วมรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์ ก่อนรอวันรับเทียบเชิญร่วมรัฐบาลในอนาคต

ในทางกลับกันถ้าเนวินไม่ประกาศต่อสาธารณะออกมา ย่อมมีผลให้พรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงระแวงต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด ยากต่อการร่วมงานกับพรรคเพื่อไทยในระยะยาว ฉะนั้นการถอยตัวเองออกมาและให้น้องชายทำหน้าที่เป็นเงาแทน จึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

ขณะที่ตัวอนุทินเองก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปหักกับพรรคเพื่อไทย ในเมื่อบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น ยังคงเป็นหนึ่งในบริษัทก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ได้ร่วมก่อสร้างรถไฟฟ้าหลายสาย

แม้บางเส้นทางจะได้รับมาดำเนินการตั้งแต่รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ไม่ได้ไปแตะต้องอะไร สะท้อนเป็นนัยว่า “อนุทินทักษิณ” สัมพันธ์แนบแน่น เหลือเพียงให้จังหวะและเวลาลงตัวเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นภายในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ หรือหลังการเลือกตั้งครั้งใหญ่ในอีก 3 ปีข้างหน้า

ดังนั้น พรรคภูมิใจไทยโฉมใหม่เป็นแค่การเปลี่ยนบทบาทตัวเองให้เป็นฝ่ายค้านในพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อสร้างความไว้วางใจให้กับพรรคเพื่อไทยและลดความหวาดระแวงซึ่งกันและกัน โดยมีเป้าหมายสำคัญที่การร่วมรัฐบาลกันอีกครั้งหลังบาดแผลเสื้อแดงจางหาย